“อ่านแล้วทำ”
พันธสัญญาระหว่างพระเป็นเจ้ากับมนุษย์ เริ่มต้นตั้งแต่ในยุคพันธสัญญาเก่า ด้วยการเรียกอับราฮัม และทรงเริ่มต้นสัญญากับท่านว่า “พระองค์จะทำให้ท่าน และลูกหลานกลายเป็นชนชาติใหญ่” (ปฐมกาล 12:2)
การเรียกครั้งสำคัญ อีกครั้งหนึ่ง ก็คือ การเรียกชาวยิว ลูกหลานของอับราฮัม ที่เป็นทาส ออกจากประเทศอียิปต์ แต่เป็นที่น่าสังเกตก็คือ พระองค์เรียกพวกเขาว่า ลูก “เราได้เรียกบุตรของเราออกมาจากอียิปต์” (โฮเชยา11:1)
เนื้อหาของพันธสัญญา ที่พระเป็นเจ้าทรงกระทำกับชาวยิว ก็คือ “พวกเขาต้องเชื่อฟัง และปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์” สิ่งนี้ถูก ย้ำแล้ว ย้ำเล่า ตลอดเวลาอันยาวนาน ของประวัติศาสตร์ ยิว “ถ้าท่านปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระยาห์เวห์ พระเจ้าของท่าน และดำเนินตามหนทางของพระองค์ พระองค์จะทรงแต่งตั้งท่านให้เป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่พระองค์” (เฉลยธรรมบัญญัติ 28:9)
แต่ตลอดเวลาอันยาวนานเหล่านั้น เป็นเวลาแห่งความไม่เชื่อฟัง ประวัติศาสตร์ยิวในอดีตถูกเรียกว่า “ประวัติศาสตร์แห่งการทรยศหักหลัง”
หนังสือ เยเรมีย์ ในวันนี้ พระเป็นเจ้าทรงตรัสว่า “เราจะทำให้คำสัญญาที่จะบันดาลความสุข คำสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้ต่อชาวอิสราเอล และชาวยูดาห์สำเร็จเป็นจริง”
คำสัญญานั้นเป็นจริง ด้วยการเสด็จมาบังเกิดขององค์พระเยซูเจ้า องค์แห่งความชอบธรรม องค์แห่งความยุติธรรม และองค์แห่งความดีครบบริบูรณ์
อีกนั่นแหละ!แม้พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาแล้ว และได้ทรงประทานแนวทางคำสั่งสอนต่างๆ สำหรับการดำเนินชีวิตไว้มากมายแล้วก็ตาม แต่ความไม่เชื่อฟัง และการทรยศหักหลังก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ยังไม่มีการกลับใจ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างจริงจัง พระคริสตเจ้ายังไม่ได้เป็น กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ดังที่เรา เฉลิมฉลองสมโภชกันไปในวันอาทิตย์ที่แล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะ พระองค์ยังไม่ สามารถครองใจ ครองชีวิต ของมวลมนุษย์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และนอกนั้นในกลุ่มบุคคลที่ดูเหมือน พระองค์ได้ ครองใจ ครองชีวิตได้แล้ว การครองใจ ครองชีวิตนั้น ก็เป็นไปอย่าง ครึ่งๆกลางๆ
จนแล้วจนรอด พระเยซูคริสตเจ้ายังไม่สามารถเป็น กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ได้อย่างเต็มภาคภูมิเสียที
นักบุญเปาโลจึงเขียนเตือนสติ พวกเราไว้ในจดหมายของท่านในวันนี้ “พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดเราขอวิงวอนและเตือนสติท่านในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านได้เรียนรู้จากเราว่า จะต้องดำเนินชีวิตอย่างไร เพื่อเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ท่านก็ดำเนินชีวิตเช่นนี้อยู่แล้ว แต่ขอให้ท่านมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีก ท่านทั้งหลายทราบดีอยู่แล้วถึงคำสั่งสอน ที่เราให้ท่านเดชะพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า” (1 เธสะโลนิกา 4:1-2)
ท่านขอร้องเราให้ “เอาสิ่งที่เราเรียนรู้แล้ว” เอาไปทำให้ “ชีวิตของเรามีความก้าวหน้ายิ่งขึ้น” ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ใช่เอาแต่ อ่านพระวาจาแต่เพียงอย่างเดียว คือรู้แต่ยังไม่ลงมือปฏิบัติ
และขอต่อท้ายด้วยคำเตือนของท่าน เปาโล ในบทจดหมายฉบับเดียวกัน ในข้อที่ 3-12 ดังต่อไปนี้
“นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือให้ท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ ละเว้นจากการผิดประเวณี แต่ละคนรู้จักใช้ร่างกายของตน ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และด้วยความเคารพ โดยไม่ปล่อยตัวตามราคะตัณหาอย่างคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า อย่าให้ผู้ใดล่วงเกินหรือหลอกลวงพี่น้องของตนในเรื่องนี้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงโทษในเรื่องความผิดเหล่านี้ทั้งหมดดังที่เราได้เคยบอกและกำชับท่าน พระเจ้ามิได้ทรงเรียกเราให้มาเป็นคนสกปรกลามก แต่ให้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ผู้ที่ดูถูกคำเตือนนี้ ก็มิใช่ดูถูกเพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ดูถูกพระเจ้าผู้ประทานพระจิตของพระองค์ให้แก่ท่านด้วย
ส่วนเรื่องความรักฉันพี่น้องนั้น ไม่จำเป็นต้องเขียนบอกอะไรท่านอีก เพราะท่านได้รับคำสอนจากพระเจ้าให้รักกัน และท่านก็ได้ปฏิบัติเช่นนี้ต่อพี่น้องทุกคนไปทั่วแคว้นมาซิโดเนียอยู่แล้ว พี่น้องทั้งหลาย เราขอร้องท่านให้รักกันยิ่งๆขึ้น เอาใจใส่ที่จะดำเนินชีวิตอย่างสงบ ต่างคนต่างทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตน ดังที่เราเคยกำชับท่าน เพื่อการดำเนินชีวิตของท่านจะได้รับการยกย่องนับถือจากบุคคลภายนอก และไม่เป็นภาระแก่ผู้อื่น”