ไม่มีใครดีกว่ากัน
เรามักจะเรียกลูกคนเล็กในพระวรสารของนักบุญลูกาวันนี้ว่า “ลูกล้างผลาญ” เพราะเขา “ผลาญทรัพย์สมบัติของพ่อจนหมด” ตามคำกล่าวของลูกชายคนโต
ลูกคนเล็ก ด้วยความมีอายุยังน้อย รักสนุก อยากเป็นอิสระ อ่อนด้อยทางความคิดและด้วยอีกหลายๆเหตุผล ได้ขอแบ่งสมบัติจากพ่อในส่วนที่เป็นของตนเอง ตามความจริง “สมบัติส่วนที่เป็นของตัว” นั้นลูกคนเล็กมีสิทธิ์จะรับได้อย่างถูกต้องก็ต่อเมื่อ บิดาเสียชีวิตลงแล้วเท่านั้น แต่การทวงสมบัติส่วนของตัวขณะที่บิดายังคงมีชีวิตอยู่แสดงถึงท่าทีอันเลวร้ายของลูกคนเล็กที่มีต่อบิดาในทำนองว่า “เมื่อไรจะตายเสียทีฉันจะได้เอาสมบัติส่วนของฉัน” ดังนั้นการทวงขอสมบัติขณะที่บิดายังปกติดี ก็เหมือนกับเป็นการ แช่งบิดาให้ตายเร็วๆ นี่เป็นความเลวร้ายอันแรกในตัวของลูกคนเล็ก จากนั้นการออกไปแล้วใช้ชีวิตเสเพล เหลวไหล ผลาญเงินผลาญทองจนหมดสิ้นก็ไม่ต้องอธิบาย เพราะถือเป็นความเลวร้ายที่เรารับรู้ รับทราบกันเป็นความชั่วความเลวที่ปรากฏชัด
แต่สิ่งที่เป็นจุดที่ดีของลูกคนเล็กก็คือ “การสำนึกรู้ตัว และขอโอกาสเปลี่ยนแปลงชีวิต”
ส่วนลูกคนโต ดูเหมือนเป็นลูกที่ดี อยู่กับบ้านทำงานรับใช้บิดาอย่างซื่อสัตย์ แต่เอาเข้าจริงๆแล้วมันไม่ดีอย่างที่ปรากฏ เพราะเมื่อน้องคนเล็กกลับมาและบิดาจัดงานต้อนรับอย่างใหญ่โต
o บุตรคนโตก็โกรธ
o ไม่ยอมเข้าบ้าน
มิหนำซ้ำคำพูดที่ออกมาจากปาก บ่งบอกให้เราได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ภายใน “ลูกรับใช้พ่อมานานหลายปีแล้ว ไม่เคยฝ่าฝืนคำสั่งของพ่อเลย พ่อก็ไม่เคยให้ลูกแพะแม้แต่ตัวเดียวแก่ลูกเพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ”
ทำงานหวังผลประโยชน์ตอบแทนชัดๆ ไม่ได้ทำงานเพราะความรักภักดีต่อบิดา
เราทำงานรับใช้พระเป็นเจ้า ในพระศาสนจักรเราหวังอะไรจากพระเป็นเจ้าในทำนองนี้บ้างไหม? อยากให้พระเป็นเจ้าอวยพรให้เราร่ำรวยขึ้น? อยากจะประสบผลสำเร็จในเรื่องนู้นเรื่องนี้? อยากให้ใครต่อใคร นับหน้าถือตาเราอยากให้เขาชมว่าเราเป็นคนดี คนสำคัญ? ฯลฯ
แต่ที่ร้ายที่สุด คือ ฟังจากประโยคนี้ “แต่พอลูกคนนี้ของพ่อกลับมา” ย้ำ ลูกคนนี้ของพ่อสำเนียงพูด คือ ไม่ยอมรับว่าลูกคนนี้คือ น้องของตัวเองที่มีสายเลือดเดียวกัน เป็นพี่เป็นน้องคลานตามกันมา แต่เป็นเพียงลูกของพ่อ เท่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน
แต่เหตุผลเบื้องหลังที่น่าจะเป็นไปได้ ที่บิดารักลูกคนเล็กมากกว่าตัวพี่ชาย ก็เพราะบิดาคงจะตามใจลูกคนเล็กมากกว่าพี่ชาย ความอิจฉาจึงคุกรุ่นอยู่ภายใน ความอิจฉาพัฒนากลายเป็นความเกลียดชังซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายใน
ในพระศาสนจักร มีกรณีอย่างนี้อยู่อย่างไม่ต้องสงสัย
สรุปแล้วทั้งลูกคนเล็ก ลูกคนโต ทำให้พ่อไม่สบายใจ ทั้ง 2 คน ทั้งลูกคนเล็กและลูกคนโตต้องการการกลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตเท่าๆกัน
และคงต้องพูดอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเลยว่า ในพระศาสนจักร ไม่มีใครดีกว่าใคร ทุกคนต้องกลับใจเหมือนๆกันหมด เพราะฐานะที่แท้จริงของเราแต่ละคนต่อหน้าพระเป็นเจ้าก็คือ “คนบาป” ดังนั้นเราไม่มีสิทธิว่ากล่าวประณามว่า คนนี้เลว คนนั้นชั่ว และแม้ความเลวความชั่วปรากฏออกมาอย่างชัดเจนก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เรามีสิทธิ์ตัดสินความเลว ความชั่ว ที่ปรากฏนั้น สิทธิ์อันเดียวที่เราต้องมีคือ ความสงสารและความเห็นอกเห็นใจ ความพยายามที่จะต้องช่วย พี่น้องในพระคริสตเจ้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเอง และจะต้องเป็นการช่วยแบบพี่แบบน้อง จริงๆเพราะศีลล้างบาปทำให้เราทุกคนมีสายเลือดของพระคริสตเจ้าอยู่ในตัวเหมือนๆกัน