บาดแผลในการประกาศข่าวดี
สัปดาห์ที่แล้วเราสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ เป็นการปิดฉากการประทับอยู่ของพระองค์ในโลกแบบที่แลเห็นและสัมผัสได้ และเป็นการเริ่มต้นการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในโลกนี้ในรูปแบบใหม่ ที่เราเรียกกันว่าพระกายทิพย์ ตามที่นักบุญเปาโลได้ให้อรรถาธิบายไว้
การเสด็จขึ้นสวรรค์ ยังบอกแก่เราว่า ต่อไปนี้ผู้ที่จะต้องทำงานสืบต่อจากพระองค์ คือพระกายทิพย์ของพระองค์เอง พระกายทิพย์ คือ ตัวแทนของพระคริสตเจ้าที่แลเห็นได้ในโลก พระกายทิพย์นี้จะต้องทำให้การประทับอยู่ของพระคริสตเจ้า เป็นจริง คือ เมื่อได้ พูดคุย สัมผัส กับพระกายทิพย์นี้ก็เท่ากับได้ พูดคุย สัมผัส กับ ตัวของพระเยซูคริสตเจ้าจริงๆ
ดังนั้น พระกายทิพย์นี้มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้คำกล่าวของพระเยซูเจ้าที่ว่า “…..เราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” (มัทธิว 28:20) เป็นจริง
พระกายทิพย์นี้ก็คือ สมาชิก คริสตชนแต่ละคนที่ได้รับศีลล้างบาป แต่ละคนถูกผนวกรวมเข้าเป็นส่วนอวัยวะขององค์พระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นศีรษะ
ในวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ พระกายทิพย์ยังไม่เกิด เพราะพระจิตเจ้ายังไม่ได้เสด็จลงมา ผู้เชื่อแต่ละคน ยังมีชีวิต เป็นผู้เชื่อธรรมดา ยังไม่ได้เป็นพระกายทิพย์ เพราะพวกเขายังไม่ได้มีชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าในตัว ดังนั้นในบทอ่านต่างๆของสัปดาห์ที่แล้วพระเยซูเจ้าจึงทรงกำชับอัครสาวกอย่างหนักแน่น “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงคอยรับพระพรที่พระบิดาทรงสัญญาไว้…” (กิจการ 1:4) และ “…..ท่านจงคอยอยู่ในกรุงจนกว่าท่านจะได้รับพระอานุภาพจากเบื้องบนปกคลุมไว้…” (ลูกา 24:49)
พระพรของพระบิดาหรือ พระอานุภาพจากเบื้องบน คือ องค์พระจิตเจ้า
พระจิตเจ้าจะต้องทำให้มนุษย์ธรรมดาๆกลายเป็นพระคริสตเจ้า เพื่อให้มนุษย์ธรรมดาที่กลายเป็นพระคริสตเจ้าแล้วสามารถทำงานของพระองค์ได้
ดังนั้นบทบาทที่สำคัญของพระจิตเจ้าจึงไม่ใช่ทำให้คนๆหนึ่งพูดภาษาต่างๆที่คนฟังไม่รู้เรื่อง แต่บทบาทสำคัญของพระจิตเจ้าคือ เปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้กลายเป็นพระคริสตเจ้า
และถ้าเราจะอ่านจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวเอเฟซัส บทที่ 1 ตั้งแต่ ข้อ 3 เราจะเข้าใจ สิ่งที่ได้เขียนไว้ข้างบน เราจะเข้าใจ แผนการแห่งความรอดพ้นที่พระเป็นเจ้าได้วางไว้ คือ “…..เพื่อให้เราศักดิ์สิทธิ์และปราศจากมลทิน…..ให้เราเป็นบุตรบุญธรรมเดชะพระเยซูคริสตเจ้า…..” (เอเฟซัส 1:4-5)
แต่ทั้งหมดต้องเป็นผลงานของพระจิตเจ้าแต่เพียงผู้เดียว
แต่ก็มีสิ่งที่น่าคิดอีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้องค์พระจิตเจ้า จะทรงเป็น พระอานุภาพ และเป็นพระพละกำลังขององค์พระเป็นเจ้า ที่จะเปลี่ยนแปลง ฟื้นฟู สรรพสิ่งทั้งหลายแต่สรรพสิ่งทั้งหลายต้องร่วมมือ กับ พระอานุภาพ และ พระพละกำลังนี้
การเปลี่ยนแปลง ฟื้นฟูจะไม่เกิดขึ้นถ้าเราไม่ร่วมมือกับพระจิตเจ้า ความรอดจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเราปล่อยให้พระจิตเจ้าทำงานแต่ฝ่ายเดียว โดยที่เราไม่ร่วมมือกับพระองค์
ร่วมมือกับพระจิตเจ้า คือ ลงมือ ตัดแต่งชีวิตในส่วนที่ชั่วร้ายของเรา เชิญอ่านข้อความต่อไปนี้
“เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นชาวสวน กิ่งก้านใดในเราที่ไม่เกิดผล พระองค์จะทรงตัดทิ้งเสีย กิ่งก้านใดที่เกิดผล พระองค์จะทรงลิดเพื่อให้เกิดผลมากขึ้น” (ยอห์น 15:1-2)
การตัด การลิดกิ่งเป็นส่วนหน้าที่ของตัวเราเอง ไม่มีใครจะมาทำให้ ส่วนอุปกรณ์การตัด การลิด ก็คือ พระวาจาที่พระเยซูเจ้ามอบไว้ให้แก่เรา การยอมนอบน้อมเชื่อฟัง และปฏิบัติตามพระวาจา ก็คือ การตัด การลิดชีวิตของตัวเราเองในส่วนที่เป็นความชั่วช้า ความบาป รวมทั้งอะไรก็ตามที่ทำให้ตัวเรายังไม่เหมือนพระคริสตเจ้า และการจะสามารถทำอย่างนี้ได้ก็ ต้องพึ่งพาพระพลังอำนาจ และพระอานุภาพของพระจิตเจ้า คอยหนุนช่วยเหลือ
เมื่อเราลงมือ ตัดลิดชีวิต (†) ในส่วนที่ชั่วร้ายของเรา มันก็จะเกิดบาดแผลในชีวิต คือ มีความเจ็บปวดภายใน จากการที่เราไม่สามารถทำอะไรๆตามใจตัวเอง แต่พยายามทำตามน้ำพระทัยของพระ และแผลดังกล่าว จะเป็นบาดแผลที่เหมือนกับแผลของพระเยซูเจ้า คือ เป็นแผลที่เยียวยารักษาโลก เชิญอ่านพระวรสารของวันนี้ “…ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย ….” (ยอห์น 20:20) แผลเหล่านั้นเกิดจากความนอบน้อมเชื่อฟังที่พระเยซูเจ้ามีต่อพระบิดา แผลแบบนี้จะเกิดกับชีวิตของเราเช่นเดียวกัน เมื่อเรานอบน้อมต่อพระวาจา ของพระเยซูเจ้า และอีกประโยคหนึ่งที่สำคัญคือ “…พระบิดาส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” (ยอห์น 20:21) พระบิดาส่งพระเยซูเจ้ามาแบบที่ทำให้พระองค์มีบาดแผล พระเยซูเจ้าก็ส่งเราไปแบบที่เราต้องมีบาดแผลเช่นเดียวกัน
ชีวิตคริสตชนที่ไม่มีบาดแผล จะเป็นชีวิตคริสตชนที่จะไม่สามารถทำงานของพระเยซูเจ้าได้เลย