พระฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำงานในคนที่ยอมดำเนินชีวิตเสมือนตาย
หนังสือพงศ์กษัตริย์ในบทอ่านที่ 1 พูดถึงประกาศกเอลียาห์ปลุกเด็กที่ตายแล้วให้ฟื้นคืนชีวิต ส่วนในพระวรสารนักบุญลูกา พระเยซูเจ้าสั่งให้หนุ่มชาวเมืองนาอิน ที่ตายแล้วฟื้นจากความตาย
ทั้ง 2 เรื่อง แสดงถึงพระฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเหนือสิ่งสร้างทั้งหลาย ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต และเราได้อ่านเรื่องเหล่านี้ในพระวรสารในการทำอัศจรรย์ต่างๆของพระเยซูเจ้า พระฤทธิ์อำนาจเหนือสิ่งสร้างเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์มีฤทธิ์เหนือสิ่งเหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงสร้างมันมา
แต่มีเพียงสิ่งสร้างเดียว ที่พระองค์ไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ บังคับขู่เข็ญ นั่นคือ มนุษย์ พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์มาเช่นเดียวกับสิ่งสร้างอื่นๆ แต่พระองค์ได้ให้สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งแก่สิ่งสร้างพิเศษนี้ คือ อิสรภาพ พระองค์ให้มนุษย์มีอิสระในการเลือกสิ่งต่างๆได้ด้วยตัวเอง พระองค์ทรงให้อิสรภาพแก่มนุษย์ในการเลือกดีชั่ว และให้สามารถเลือกที่จะทำดี หรือ ทำชั่ว และเมื่อพระองค์ทรงให้อิสรภาพแก่มนุษย์แล้ว พระองค์ทรงเคารพการเลือกของพวกเขา เพียงแต่ทรงให้คำแนะนำต่างๆที่เป็นประโยชน์เพื่อให้มนุษย์รู้จักดำเนินชีวิต ในเบื้องต้นทรงให้มนุษย์มีจิตนำที่เรียกว่า มโนธรรม ต่อมาก็ทรงส่งพระบุตรมาให้เป็นผู้สอนด้วยตัวของพระองค์เอง
การปลุกคนตายให้ฟื้นคืนชีพในพระวรสารวันนี้บอกสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งแก่เราคือ พระฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำงานในคนที่ตายแล้ว
และอีกสิ่งหนึ่งที่พระวรสารวันนี้บอกแก่เราก็คือ พระฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าทำงานเช่นเดียวกันในคนที่ดำเนินชีวิตเสมือนตาย
ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าออกฤทธิ์ในคนที่ตาย และฤทธิ์อำนาจเดียวกันก็จะออกฤทธิ์ในคนที่ดำเนินชีวิตเสมือนตายไปแล้ว
อะไรคือการดำเนินชีวิตเสมือนตายไปแล้ว?
ขอยกความสั้นๆจากหนังสือ “อยากจะเปลี่ยนชีวิต…ต้องเปลี่ยนวิธีคิด” ซึ่งเขียนโดย พระไพศาล วิสาโล หรือ พระพยอม กับผู้เขียนร่วมอีกท่านหนึ่งคือ คุณรินใจ ข้อความอยู่ใน หน้า 24 ของหนังสือ เป็นบทเรียบเรียงสั้นๆโดย คุณรินใจ ผู้เขียนเขียนไว้ภายใต้หัวข้อ ปล่อยวางทุกสิ่ง
“โรคร้ายไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย แต่ถ้าเราพร้อมที่จะตาย หรือนึกว่าตายแล้ว ปล่อยวางทุกสิ่งเหมือนคนตาย ไม่ว่าชีวิต ลูกหลาน หรือ ทรัพย์สินเงินทอง ความทุรนทุรายก็จะลดลงไปมาก”
ผู้ดำเนินชีวิตเสมือนตายก็คือผู้ที่รู้จักปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่ยึดไม่เกาะกับสิ่งเหล่านั้น ค่อยๆปล่อยวางทีละเล็กทีละน้อยๆ จนกระทั่งตัวเองว่างเปล่า และเป็นอิสระจากทุกสิ่ง เหมือนกับที่ท่านพุทธทาสสอนไว้ว่า ฝึกตายก่อนตาย
คนประเภทที่กล่าวไว้ข้างบนนี้แหละที่พระฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจะสามารถออกฤทธิ์ในตัวของคนประเภทนี้ได้ ชีวิตที่ว่างเปล่าคือ ชีวิตที่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสามารถออกฤทธิ์ทำงานได้ ชีวิตประเภทนี้แหละ เป็นชีวิตที่สามารถถูกเปลี่ยนให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความยินยอมของมนุษย์ด้วย
ดังนั้น ปฐมคำสอนของพระเยซูเจ้าจึงเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
“ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:3) อันนี้เป็นคำแนะนำที่เราเรียกว่า “คำแนะนำแห่งพระวรสาร” (Evangelical Counsel)
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวกาลาเทีย วันนี้ ได้เล่าถึงประสบการณ์ การไม่ยอมตายของนักบุญเปาโล ในเบื้องต้น และต่อมาเมื่อท่านยอมตาย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ท่านบอกว่า “พระเจ้าทรงเลือกท่านไว้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์” เพื่อให้ท่านทำงานใหญ่ แต่ท่าน ณ จุดหนึ่งได้ดำเนินชีวิตในความหลงผิด ด้วยการ
1) ยึดถือประเพณีของชาวยิว (หลงยึดแบบหัวปักหัวปำชนิด หลับหูหลับตายึด)
2) เบียดเบียนพระศาสนจักร และ
3) พยายามทำลายล้างพระศาสนจักร
ทั้ง 1,2,3 คือสภาวะของการไม่ปล่อยวาง ไม่ยอมตาย ผลคือ พระเป็นเจ้าจึงทรงต้องตักเตือนท่านแรงๆ ตามเหตุการณ์ที่เราได้รับทราบจากหนังสือกิจการอัครสาวก
เปาโลเริ่มปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นของตัวเอง (ทำตัวเสมือนตาย) หันหน้าเข้าหาพระเยซูเจ้า และพร้อมยอมเชื่อฟังคำสอนของอัครสาวก ทำตัวเหมือนตายแล้ว ให้พระเจ้าจัดการกับชีวิตของท่าน
และ ณ จุดนี้เองที่พระฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าก็เริ่มทำงานในตัวของเปาโล และพระฤทธิ์อำนาจนั้นได้เปลี่ยนแปลงเปาโลให้กลายเป็นอัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่ และยิ่งใหญ่แทบจะเหนือกว่าอัครสาวกองค์อื่นๆ