ความเชื่อคือการทำตามที่บอก
สมโภชนักบุญเปโตรและเปาโลในวันนี้มีสิ่งที่เราจะต้องนำมาคิดทบทวน เกี่ยวกับชีวิตคริสตชนของเรา ในเบื้องต้นให้เราฟังคำสรรเสริญเยินยอที่ พระศาสนจักรให้แก่ท่านนักบุญทั้งสอง ในบทนำขอบพระคุณ ของมิสซาในวันนี้
“เปโตรเป็นหลักมั่นคงแห่งความเชื่อที่จะต้องยึดถือ ส่วน เปาโลเป็นผู้ป้องกันความเชื่อที่จะต้องเรียนรู้”
ดังนั้นความเชื่อจึงมีความมั่นคงและคงอยู่โดยอาศัยท่านทั้งสอง
และขณะเดียวกัน ให้เราฟังสิ่งที่ท่านทั้งสองพูด ซึ่งมีบันทึกไว้ในบทอ่านของมิสซาวันนี้เช่นเดียวกัน
เปโตรกล่าวหลังจากถูกปล่อยออกมาจากคุกอย่างมหัศจรรย์ ท่านกล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แน่แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์เฮโรด และจากความมุ่งร้ายทั้งหลายของประชาชนชาวยิว”
ท่านรอดมาได้เพราะพระช่วย
ส่วนเปาโลเมื่อใกล้จะถึงเวลาที่จะต้องตาย ท่านได้มองย้อนหลังกลับไปดูชีวิตในอดีตของท่าน ทั้งสิ่งที่ท่านได้เป็นและได้ทำ และได้บันทึกไว้ในท้ายจดหมายของท่านฉบับวันนี้ ที่ท่านได้เขียนเตือนทิโมธี ท่านเขียนไว้ว่า
“มีแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงยืนอยู่เคียงข้างและประทานกำลังแก่ข้าพเจ้าเพื่อการประกาศข่าวดีจะได้สำเร็จไปโดยทางข้าพเจ้าและคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดีดังนั้นข้าพเจ้าจึงถูกฉุดให้พ้นจากปากสิงโตมาได้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้นและจะทรงนำข้าพเจ้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์อย่างปลอดภัยขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดรเทอญอาแมน”
เปาโลยืนหยัดมาได้จนถึงวาระสุดท้ายก็เพราะพระช่วยท่านเช่นเดียวกัน
แต่เพื่อพระจะได้ช่วยท่าน มีเงื่อนไขสำคัญเพียงอย่างเดียวก็คือ ท่านจะต้องฟังพระ
ฟังพระก็คือ เชื่อฟังพระ เชื่อฟังพระ ก็คือ พระบอกให้ทำอะไรท่านก็จะต้องทำ
ทั้งเปโตรและเปาโล พยายามพร่ำสอนในเรื่องนี้ เช่นเปาโลในกิจการอัครสาวก “ข้าพเจ้าเชิญชวนทั้งชาวยิวและชาวกรีก (รวมทั้งพวกเราด้วย) อย่างแข็งขันให้กลับใจมาหาพระเจ้า และให้มีความเชื่อในพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (กิจการ 20:21)
กลับใจคือการเปลี่ยนชีวิตจากความไม่เชื่อฟังมาสู่ความเชื่อฟัง และนี่คือความหมายแท้ๆของความเชื่อ
ความเชื่อคือ ความเชื่อฟัง
ปีแห่งความเชื่อ ไม่ใช่แค่ปีแห่งการจัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การรวมตัวของคริสตชน การสวมเสื้อปีแห่งความเชื่อ หรือการประดับธงแห่งความเชื่อ หรือแม้แต่สวดบทข้าพเจ้าเชื่อซ้ำไปซ้ำมา ฯลฯ ปีแห่งความเชื่อจะต้องทำมากกว่ากิจกรรมภายนอก โดยการต้องเฉลิมฉลองด้วยชีวิตที่กลับใจ หรือ ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากความไม่เชื่อฟังพระมาสู่ชีวิตที่เชื่อฟังพระ คือ ชีวิตที่ยอมทำทุกอย่างที่พระเยซูเจ้าบอกให้ทำ ไม่ว่าจะยากสักแค่ไหนก็ยอม และทุกๆชีวิตในพระศาสนจักรจะต้องกระทำดังกล่าว เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองปีแห่งความเชื่อแบบตรงตามเจตนารมณ์ของพระเยซูคริสตเจ้า
ขอปิดท้ายบทสนทนาวันนี้ด้วยพระวรสารของนักบุญมัทธิว บทที่ 8 ข้อ 5 ถึง 13 ที่เราคุ้นเคยเป็นพระวรสารที่ให้คำอธิบายเรื่อง ความเชื่อ ว่าความเชื่อจริงๆแล้วแปลว่าอะไร และขอให้สังเกตสิ่งที่ถูกขีดเส้นใต้ไว้
เวลานั้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลอ้อนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย”
แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ทำนี่’ เขาก็ทำเมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่นนี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตามว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนจำนวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบในอาณาจักรสวรรค์ แต่บุตรแห่งอาณาจักรจะถูกขับไล่ออกไปในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การร่ำไห้คร่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” และพระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงไปเถิด จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อนั้นเถิด” ผู้รับใช้ของเขาก็หายจากโรคในเวลานั้นเอง
พระเยซูเจ้าเห็นด้วยกับความหมายของ ความเชื่อของนายร้อย คือ เมื่อสั่งก็ต้องทำตามที่สั่ง
เราจะมามีความเชื่อจริงๆกันได้หรือยัง? และคริสตชนของเราเป็นชีวิตที่มีความเชื่อจริงๆหรือยัง?