สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้งอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม 2556
——————————————————
“ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อย…” เป็นพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ทรงตรัสกับศิษย์ของพระองค์ก่อนที่จะส่งพวกเขาออกไปประกาศข่าวดีฯ…
จากพระวาจานี้ทำให้ผมคิดถึงหลายสิ่งหลายสิ่ง
ประการแรกคิดถึงเรื่องข้าวในสต๊อกที่รัฐบาลรับจำนำไว้ซึ่งมีปัญหาเกิดขึ้นมากมายทำให้มีผลกับหลายๆคนเป็นต้นผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งชาวนาเจ้าของโรงสีและรัฐบาลเองซึ่งจะไม่ขอกล่าวในรายละเอียดเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงทราบกันพอสมควรแล้วเรื่องนี้ผมคิดว่า“ข้าว”คงไม่ใช่ปัญหาปัญหาอยู่ที่“คน”มากกว่าที่ทำให้เกิดปัญหา
ประการที่สองคิดถึงอดีตตอนเป็นเด็กๆเคยเห็นเขาเกี่ยวข้าวในนาสมัยนั้นต้องใช้แรงคนเท่านั้นไม่มีรถเกี่ยวข้าวเหมือนสมัยนี้เกี่ยวเสร็จแล้วต้องหอบข้าวใส่เลื่อนลากเข้ามาที่ลานนวดข้าวใช้ควายเป็นตัวช่วยสำคัญเริ่มตั้งแต่ไถนาย่ำนาคราดนาลากเลื่อนบรรทุกฟ่อนข้าว(มัดข้าว) เข้าไปกองไว้ที่ลานนวดข้าวและปิดท้ายด้วยการใช้ควายย่ำข้าวด้วยเหตุนี้กระมังเวลาท่องตัวพยัญชนะภาษาไทยเขาจึงบอกว่า“ค.ควายใช้งาน”ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นควายเหล็กไปหมดแล้วทำเอาบรรดาควายๆทั้งหลายตกงานไปตามระเบียบ… หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็น“ค.ควายเนื้อเค็ม”ไปซะแล้ว…
ประการที่สามน่าจะตรงประเด็นกับพระวรสารวันนี้มากกว่านั่นคือคิดถึง“กระเเสเรียก”โดยเฉพาะกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ทำให้รู้สึกว่าพระวาจาของพระเยซูเจ้านั้นเป็นความจริงและน่าจะเป็นจริงมากขึ้นเนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนสามเณรทั้งเณรใหญ่และเณรเล็กลดน้อยลงจนน่าใจหายจากที่เคยมีจำนวนเป็นร้อยๆคนปัจจุบันเหลือเพียงจำนวนหลักสิบเท่านั้นเอง… อย่างนี้แสดงว่าคนงานที่จะมาทำงานในนาของพระเป็นเจ้า(ในโลกนี้) จะขาดแคลนอย่างแน่นอนส่วนสาเหตุมาจากอะไรนั้นเราคงจะมีความคิดคล้ายๆกันคือโลกแห่งโลกียะนิยมหรือวัตถุนิยมมีอิทธิพลทำให้มนุษย์เราให้ความสำคัญกับชีวิตฝ่ายกายจนดูเหมือนลืมมิติชีวิตฝ่ายจิตไปแล้ว… หรือประเด็นหนึ่งก็คือปัจจุบันคนเรามักจะมีบุตรไม่มากเพียงครอบครัวละคนสองคนจึงไม่ส่งเสริมให้ลูกไปบวชกันนัก… ต่างจากสมัยก่อน…
แล้วจะทำอย่างไร?… ผมว่าสิ่งที่เราทุกคนทำได้และทำได้ทันทีคือ“…จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด…” สวัสดีครับ.