ความรักกล้าสูญเสียทุกสิ่ง
ถ้าใครอ่านพระวรสารของวันอาทิตย์นี้ ซึ่งเอามาจาก ลูกา บทที่ 10 ข้อ 25 ถึง 37 แล้วไม่เกิดคำถามในจิตใจคนๆนั้นย่อมมีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ
พ่อเองอ่านแล้วยังตั้งคำถามมาจนทุกวันนี้ และคำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมถึงต้องยอมลงทุนทำถึงขนาดนั้น? ทั้งๆที่เป็นญาติก็ไม่ใช่ เป็นคนรู้จักก็ไม่ใช่ เป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ เป็นแค่คนที่ตัวเองบังเอิญผ่านมาพบระหว่างทาง ถูกทำร้ายปางตายก็แค่นั้นเอง แล้วทำไมถึงต้องลงทุนทำถึงขนาดนั้น? เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงิน และถ้าเป็นสังคมไทยในปัจจุบันชาวสะมาเรียผู้นั้น ก็เสี่ยงจะต้องถูกมอง และถูกกล่าวหาโดยคนรอบข้าง ที่มักจะมองคนในแง่ร้าย มุ่งหาเพียงแพะรับบาป ว่าชาวสะมาเรียผู้นั้นแหละคือ คนที่ปล้นทำร้าย และจะต้องถูกจับตัวเป็นผู้ต้องหาเสียเอง เหมือนในหลายกรณีที่คนที่จอดรถด้วยน้ำใจดีเพื่อช่วยคนที่ถูกรถชนข้างถนน จะเสี่ยงถูกกล่าวหาว่าตัวเองนั่นแหละเป็นผู้ขับรถชน กลายเป็นต้องติดคุกติดตาราง และถูกจับชดใช้ค่าเสียหายทั้งๆที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ แล้วทำไมชาวสะมาเรียผู้นั้นถึงต้องทำถึงขนาดนั้น?
คำตอบอยู่ที่ สิ่งที่พระเยซูเจ้าทำให้ดูในชีวิตของพระองค์เอง
พระเยซูกับชาวสะมาเรียที่พระองค์ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างในอุทาหรณ์วันนี้ คือ 2 คนที่ทำอะไรๆเหมือนๆกัน คือ ยอมทุ่มทุกอย่างสำหรับคนอื่น หรือ พร้อมและยอมสูญเสียทุกอย่างสำหรับคนอื่น และนั่นคือความหมายของ ความรัก
ความรัก คือ การที่คนๆหนึ่งพร้อมและยอมทุ่มเททุกอย่างและสูญเสียทุกอย่างสำหรับคนอื่น โดยไม่คำนึงว่าตัวเองจะได้สิ่งใดเป็นการตอบแทนหรือไม่ รวมทั้งพร้อมเสี่ยงที่จะรับผลทั้งดีและร้ายที่จะเกิดขึ้นจากการแสดงความรักนั้น
วิธีการของชาวสะมาเรียคือ วิธีการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าในพระบุคคลของพระบุตรที่มาเป็นมนุษย์ในชื่อของเยซูทรงทำต่อมวลมนุษยชาติ ดังนั้น ยอห์นจึงกล้าเรียกพระเป็นเจ้าว่า พระเจ้าคือองค์ความรัก (ดู ยอห์น 4 ข้อ 8 และ ข้อ 16)
ความหมายของความรักต่อเพื่อนพี่น้องถูกบรรยายไว้ในเรื่องราวของชาวสะมาเรียที่ยอมทุ่มเทและยอมสูญเสียทุกอย่างเพื่อผู้อื่น และความรักแบบนี้พระเยซูเจ้าก็ทรงปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างจากการที่พระองค์ทุ่มเททุกอย่างเพื่อมนุษยชาติ แม้กระทั่งเลือดหยดสุดท้ายของพระองค์
ยอห์นอัครสาวกได้เอาความรัก และ ความเชื่อ ไปผูกโยงกันโดยท่านอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดในจดหมายของท่าน ฉบับที่ 1 บทที่ 4 ตั้งแต่ข้อ 7 ถึงข้อ 21 ท่านบรรยายถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์โดยยอมทุ่มเทและให้พระบุตรแต่พระองค์เดียวแก่มนุษย์ ดังนั้น เมื่อมนุษย์ต้องรักกันและกัน สิ่งเดียวที่จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความรักนั้นก็คือ เขาต้องพร้อมที่จะทุ่มเทชีวิตของตนให้ผู้อื่นต้องพร้อมที่จะยอมสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับผู้อื่น อีกทั้งพร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น
อัครสาวกยากอบก็ให้การขยายความ ความหมายของความเชื่อว่า ความเชื่อก็คือการแสดงออกของกิจการแห่งความรักด้วยการทุ่มเทอุทิศด้วยการช่วยเหลือ จุนเจือผู้อื่นในความจำเป็นต่างๆ (อ่าน ยากอบ 2:14-26)
ผู้ใดก็ตามที่มีพฤติกรรมเยี่ยงชาวสะมาเรีย ก็คือบุคคลที่มีจิตวิญญาณของพระเป็นเจ้าอยู่ในตัว และเราจะสามารถเห็นพฤติกรรมดังกล่าวแม้ในหมู่ของผู้ที่นับถือศาสนาอื่นที่มิใช่คาทอลิก นั่นแสดงว่าเขาเหล่านั้นมีจิตวิญญาณ หรือ จิตตารมณ์ของพระเจ้าอยู่ในตัวตน แม้เขาไม่ได้เป็นคริสตชน
แต่ก็มีสิ่งที่น่าคิดเช่นเดียวกันที่บ่อยๆผู้มีจิตวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวจริงๆ โดยศีลล้างบาปที่ตนได้รับ แต่กลับมิได้แสดงออกถึงพฤติกรรมและจิตวิญญาณของพระเจ้า ตรงข้ามกลับแสดงอะไรต่อมิอะไรที่ขัดกับสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้เคยกระทำ ปีแห่งความเชื่อจึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เราต้องหันพิจารณาทบทวนในสิ่งนี้และให้ความสำคัญแก่สิ่งนี้เป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากการจัดกิจกรรมต่างๆภายนอก