ชีวิตคริสตชนสไตล์พระเยซู
หนังสือปรีชาญาณเป็นหนังสือที่น่าจะถูกเขียนขึ้นเป็นฉบับสุดท้ายในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นโดยใช้ภาษากรีก และผู้เขียนเป็นชาวยิวนิรนามที่พูดภาษากรีกเป็นภาษาแม่ เป็นผู้มีความศรัทธาภักดีต่อพระเจ้า ผู้เขียนอาศัยอยู่ในประเทศอียิปต์ ในช่วงศตวรรษที่หนึ่งก่อนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า
เป้าหมายของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มุ่งที่จะให้กำลังใจเพื่อนร่วมศาสนา ที่มีความเชื่อความศรัทธาในลัทธิยิวเดียวกันให้มั่นคงในความเชื่อและความศรัทธานั้นไม่ว่าจะต้องลำบากสักเพียงใด ในการถูกบังคับเบียดเบียนให้ละทิ้งศาสนาและความเชื่อมั่นในพระยาห์เวห์
บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณวันนี้ อ้างอิงถึงเหตุการณ์ในประเทศอียิปต์ในยุคสมัยของบรรพบุรุษยิว ในปี 1446 กคศ. นั่นคือย้อนหลังไป 1446 ปีในช่วงเวลาของการเตรียมตัวอพยพออกจากประเทศอียิปต์ภายใต้การนำของโมเสส เป็นช่วงเวลาสุดท้ายๆ เมื่อชาวอียิปต์และพระเจ้าฟาโรห์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติ 10 อย่าง “บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับรู้ล่วงหน้าถึงคืนนั้น”
“คืนนั้น” ก็คือคืนสุดท้ายที่พวกอียิปต์จะต้องเผชิญกับภัยพิบัติสุดท้ายคือ บุตรหัวปีของชาวอียิปต์ทุกคนถูกทูตสวรรค์ประหารชีวิต และคืนนั้นเองเป็นคืนที่พระเจ้าฟาโรห์ ต้องยอมปลดปล่อยชาวอิสราแอลให้เป็นอิสระ พ้นจากการเป็นทาส
“บรรดาบุตรหลานศักดิ์สิทธิ์ของผู้ชอบธรรมถวายสักการบูชาอย่างลับๆ” ณ ตรงนี้ก็อ้างถึงลูกแกะอายุ 1 ปี ที่ถูกฆ่าถวายบูชาแด่พระยาห์เวห์ เลือดของลูกแกะถูกทาไว้ที่ขอบประตู เพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้ทูตสวรรค์ได้รับทราบและผ่านเลยไป
เนื้อหาต่างๆในเหตุการณ์ในคืนก่อนวันอพยพถูกกล่าวซ้ำในพระวรสารวันนี้ ในคำตักเตือนของพระเยซูเจ้าต่อบรรดาศิษย์ ในการเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อมุ่งหน้าไปสู่อิสรภาพ
จงคาดสะเอวและจุดตะเกียง คืออาการของผู้เตรียมพร้อม คาดสะเอวคือ การแต่งตั้งให้ทะมัดทะแมง ไม่รุ่มร่าม ทำตัวให้พร้อมสำหรับการเดินทางเป็นการเดินทางไปพบพระเจ้า ชีวิตคริสตชนต้องทะมัดทะแมง ไม่รุ่มร่ามนั้นย่อมหมายถึง ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่พะรุงพะรังไปด้วย “สิ่งไม่จำเป็น” ไม่ใช่ไปไหน ต้องแพรวพราวไปทั้งตัว ทุกอย่างต้องใหม่ต้องเนี้ยบ และมียี่ห้อ ในตู้เสื้อผ้าต้องมีเสื้อผ้าให้เลือกใส่เยอะๆ รองเท้าต้องมีให้เลือกสวมใส่ตามความพอใจ นาฬิกาต้องหลากสไตล์สรุปแล้ว ชีวิต “เยอะ” เหลือเกิน พะรุงพะรังไปหมด แค่นั้นยังไม่พอยังคงเสาะแสวงหาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ชีวิตคริสตชนแท้ต้องเป็นชีวิตที่คาดสะเอวให้ทะมัดทะแมงอยู่เสมอด้วยจิตตารมณ์แห่งความยากจน
นอกนั้นชีวิตคริสตชนยังต้อง “ถือตะเกียงไว้ในมือ” ถือตะเกียงไว้ในมือ คือ การมีแสงสว่างส่องนำทาง และแสงสว่างที่จะส่องนำทางชีวิตของเราก็คือ “พระวาจาและคำสอนของพระเยซูเจ้า” พระวาจาและคำสอนนี้จะสามารถนำทางชีวิตคริสตชนได้ ก็ต่อเมื่อคริสตชนผู้นั้น ลงมือปฏิบัติ ไม่ใช่ รู้พระวาจาและคำสอนแต่ในหัว ถามอะไรตอบได้หมด รู้แม้กระทั่งพระวาจานั้นอยู่ในบทใด และข้อใด แต่ไม่เคยเอาไปทำ เอาไปปฏิบัติแม้แต่ข้อเดียว
“การตื่นเฝ้า” ก็อีกเหมือนกัน การตื่นเฝ้าไม่ใช่แปลว่า ไม่หลับไม่นอน ดังเช่นในคืนวันตื่นเฝ้าก่อนวันฉลองสำคัญๆ มีตั้งศีลมหาสนิท มีสวดต่อหน้าศีลมหาสนิท มีขับร้องเพลง เทเซ่ รวมทั้งมีการคุกเข่าใช้โทษบาปนานๆ ฯลฯ นี่ไม่ใช่วิธีการตื่นเฝ้าที่พระเยซูต้องการ
การตื่นเฝ้าสไตล์พระเยซู ก็คือ การดำเนินชีวิตเป็นปกติแต่ละวัน แต่เป็นการดำเนินชีวิตด้วยการเฝ้าระวังตัว ระวังชีวิต ระวังหัวใจ ไม่ให้ตัวเราเอง ไม่ให้ชีวิตของเรา และไม่ให้หัวใจของเราไปผูกติด หรือ เกาะติดกับสรรพสิ่งสรรพสัตว์ในโลก อีกทั้งเฝ้าระวัง “ไม่ให้ขโมยมาเจาะใชบ้าน” คือไม่ให้สรรพสิ่ง สรรพสัตว์และความชั่วร้าย กิเลสตัณหาต่างๆ เจาะเข้ามาในชีวิตของเรา ดังนั้นชีวิตคริสตชนจะต้องมีความเข้มงวด กวดขันกับตัวเอง ไม่มีการ อะลุ่มอล่วยกับสิ่งใดง่ายๆ เป็นต้นสิ่งที่จะพาเราให้ออกห่างจากพระ ผู้รับใช้ที่ตื่นเฝ้าที่พระเยซูเจ้าพอใจคือผู้รับใช้ประเภทนี้