ไม่มีตัวกูของกู
พระวรสารนักบุญลูกาวันนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก พูดถึง การเลือกที่นั่งเวลาได้รับเชิญไปงานเลี้ยง ส่วนส่วนที่สอง พูดถึงการเลือกเชิญแขกไปงานเลี้ยง
เหตุผลของการที่พระเยซูเจ้าตรัสสอนเรื่องการเลือกที่นั่ง ก็เพราะพระองค์สังเกตว่า “ผู้รับเชิญต่างเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ”
การเลือกที่นั่งที่มีเกียรติ หรือเลือกที่นั่งดีๆก็ไม่เห็นจะผิดตรงไหน เพราะมนุษย์ก็มักจะเลือกเอาของดีๆ และสิ่งดีๆไว้สำหรับตัวเองเสมอ และเวลาที่เราเลือกเอาของดีๆ และสิ่งดีๆ ไว้สำหรับตนเอง ดูเหมือนจะเป็นเรื่อง ปกติธรรมดา สำหรับมนุษย์ทุกคน การเลือกของดีๆ และสิ่งดีๆของคนในสังคมปัจจุบันจำนวนไม่น้อยเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด จนเราสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากว่า สังคมนี้คือ สังคมแห่งการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ใครเร็วก็ได้ของดีไปก่อน ใครล่าช้าก็อดไป และความต้องรวดเร็วและสะดวกในปัจจุบันก็กลายเป็น ความไร้ระเบียบของสังคมไปในที่สุด
สิ่งที่เรามักจะพบเห็นเสมอๆในการโดยสารเรือด่วน หรือ รถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นฝรั่ง หรือ คนไทยปฏิบัติเหมือนกันหมด ถ้ามีที่ว่างในเรือก็ดีไป แต่ถ้าเก้าอี้ หรือ ม้านั่งเต็มหมด สิ่งที่ทุกคนจะทำก็คือ การยืนออกันอยู่ท้ายเรือ หรือ แถวๆประตูทางเข้าทางออกเวลาขึ้นรถ หรือ เรือลำนั้น เพื่อจะได้ขึ้นจากเรือ หรือ ลงจากรถได้สะดวก จนบางทีคนขับเรือด่วนถึงกับตะโกนด่าว่า ถ้าไม่เข้ามายืนด้านในๆ และถ้ามัวแต่ออกันอยู่ท้ายเรือ เรือก็จะไม่ยอมออก ปฏิกิริยาตอบรับของผู้โดยสารเหล่านั้นคือ “เฉย” “ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน” หรือ “ทำเป็นไม่ได้ยิน” จนคนขับเรือก็สบถด่าเบาๆแต่ดังพอที่คนอยู่ใกล้ๆจะได้ยิน
นี่คือธรรมชาติของการเลือกของดีๆ และสิ่งดีๆ สำหรับตัวเอง ที่เราเรียกว่าความเห็นแก่ตัว
ดังนั้นในส่วนที่สองของพระวรสาร พระเยซูเจ้าจึงสอนในเรื่องของการเลือกเชิญแขก “…..อย่าเชิญผู้ที่ท่านจะได้รับการตอบแทน” แต่ “จงเชิญ…..คนที่ไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่านได้”
ทำอะไรก็อย่าหวังสิ่งตอบแทน
ความเห็นแก่ตัวเกิดจากความรู้สึกนึกคิดที่ว่าตัวเองต้องมาก่อน คำว่าตัวเองต้องมาก่อน ก็คือ ตัวฉันเองต้องมาก่อน ตัวของคุณ ในท้องถนนสังเกตคนขับรถจำนวนมาก เวลาขับรถผ่านทางม้าลายทั้งๆที่มีคนรอข้ามถนนตรงทางม้าลายนั้น ผู้ขับรถที่เห็นแก่ตัวก็จะกะพริบไฟหลายครั้ง แต่ไม่ใช่เป็นสัญญาณบอกให้คนที่รอข้ามถนนข้ามไป แต่กะพริบไฟเพื่อบอกว่าขอกูไปก่อน และก็เกิดความเข้าใจผิดหลายครั้ง เกิดรถชนคนข้ามถนนที่ทางม้าลาย ไม่ใช่แต่รถเก๋ง แต่แม้แต่รถจักรยานยนต์ก็ทำเช่นเดียวกัน กดแตร แบบเร่งรัดเวลามีคนข้ามทางม้าลาย คนขับรถยนต์ และคนขับรถจักรยานยนต์เหล่านั้น ทำประหนึ่งว่า ถนนนั้นเป็นของตัวเอง เข้าทำนองตัวกูของกู และตัวกูของกูก็คือ ความหลงผิด ความหลงผิด หรือ ความเข้าใจผิด ก็คือการที่คนๆหนึ่งมองสิ่งต่างๆผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง และเมื่อใดก็ตามที่มนุษย์เกิดความหลงผิด สิ่งที่ตามมาก็คือ ความหยิ่งผยอง ดังนั้นบุตรสิราวันนี้สอนเรื่องความถ่อมตน “ลูกเอ๋ย ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด จงทำด้วยความถ่อมตนเถิด” คำสอนนี้จะไม่สัมฤทธิ์ผลถ้าเราแต่ละคนไม่ลงไปให้ถึงรากเง้าของความไม่ถ่อมตน ซึ่งได้แก่ ความหยิ่งจองหอง จะสุภาพถ่อมตนได้ต้องเริ่มต้นด้วย การกำจัดความหยิ่งจองหอง และเพื่อกำจัดความหยิ่งจองหอง เราก็ต้องเริ่มต้นด้วย การรู้จักมองทุกอย่างตามความเป็นจริง คือ ความเป็นจริงที่ว่า ไม่มีตัวกูของกู และเพื่อจะบรรลุถึงความรู้สึกไม่มีตัวกูของกู ก็ต้องเริ่มด้วยจิตตารมณ์ พื้นฐานที่พระเยซูเจ้าได้ให้ไว้ “ผู้ใดมีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:3) ใจยากจนคือใจที่ปล่อยวาง ไม่ยึดเกาะ ไม่ว่าจะตัวเอง หรือ สรรพสิ่งรอบตัว เงินทองสิ่งของเกียรติยศชื่อเสียง หรือ แม้แต่บุคคล การปล่อยวางไม่ยึดเกาะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็คือ การเริ่มต้นสร้างจิตสำนึกว่าทุกอย่างไม่ใช่ของเรา และเมื่อคนๆหนึ่งสามารถถึงจุดนี้ได้บุคคลนั้นก็จะเริ่มต้นเข้าสู่ภาวะของการไม่มีตัวกูของกู และพระเยซูเจ้าได้แสดงและเจริญชีวิตในภาวะ ไม่มีตัวกูของกู ตลอดชีวิตของพระองค์