การแบกไม้กาง
เขน และ การละทิ้งตัวกูของกูปรีชาญาณชี้ให้เราเห็นสภาพแท้ๆของมนุษย์ ปรีชาญาณชี้ให้เราเห็นชัดๆว่า ความจริงแล้วมนุษย์คือใครและเป็นอะไร
มนุษย์ คือ ผู้รู้ตาย
มนุษย์ คือ ผู้ใช้เหตุผลอย่างไม่มั่นใจ
มนุษย์ คือ ผู้ใช้ความคิดอย่างเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
มนุษย์ คือ ผู้ที่จะมองสิ่งต่างๆอย่างไม่ตรงความจริง
เหล่านี้ คือ ความจำกัด ในชีวิตมนุษย์ และสุดท้ายความจำกัดเหล่านี้ก็เป็นผลจากสิ่งเดียวคือ มนุษย์เป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า เฉกเช่นสิ่งสร้างทั้งหลาย และสิ่งที่พระเป็นเจ้าใช้สร้างมนุษย์ก็คือ ดิน เพียงแต่ดินนี้ได้รับสิทธิพิเศษ คือ การได้รับพระคุณลักษณะ หรือ พระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าไว้ในตัว
พระฉายาลักษณ์นี้แหละที่ทำให้มนุษย์อยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย แต่ก็ยังไม่พ้นความเป็นดินอยู่ดี เพียงแต่เป็นดินที่มีความคิดความอ่าน เหนือสัตว์ทั้งหลายเท่านั้นเอง ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถที่จะพัฒนาตัวเอง และสร้างวิวัฒนาการให้แก่ทั้งตัวเองและแก่โลก
แต่ก็น่าเสียดายที่ ดินที่มีปัญญานี้ ณ จุดหนึ่งของประวัติศาสตร์ ดินที่มีปัญญา ถูกหลอกลวง และทำให้หลงไปโดยสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่เหนือกว่าตน คือ ปีศาจ
ปีศาจ ก็คือ เทวดาตกสวรรค์ เพราะปีศาจคิดคดและทรยศต่อพระเจ้า แต่แม้เป็นปีศาจ และ ความฉลาดหลักแหลมสมัยเป็นเทวดา ถูกทำให้เปื้อนหมอง เลอะเลือน เฉไฉ ปัดเป๋ไปบ้างด้วยการคิดคดทรยศต่อพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นจิตวิญญาณของปีศาจ ก็ยังฉลาดหลักแหลม มากกว่ามนุษย์หลายร้อยหลายพันเท่า และด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงถูกปีศาจหลอก และตกเป็นทาสของมัน มนุษย์ถูกหลอกโดยปีศาจในอดีตกาล มนุษย์ยังคงถูกปีศาจหลอกในปัจจุบัน และจะยังคงถูกปีศาจหลอกลวงต่อๆไปในอนาคต
มนุษย์ที่ถูกหลอกยังคงดำเนินชีวิต ติดตามการหลอกลวงของปีศาจ แม้พระเยซูได้เสด็จมาแล้ว ได้แนะนำแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีแก่มนุษย์ก็แล้ว แต่มนุษย์จำนวนไม่น้อยยังเลือกที่จะเดินตามแนวทางหลงๆ หลอกๆ ที่ปีศาจวางเอาไว้ แนวทางหลงๆ หลอกๆ เหล่านั้นถูกเรียกในภาษาปัจจุบันว่า กระแสของโลก
มนุษย์ผู้ยังคงเดินติดตามแนวทางของปีศาจแต่ก็ยังบังอาจเรียกตัวเองว่าผู้ฉลาด ความเป็นผู้ฉลาดอย่างโง่ๆของมนุษย์ สร้างให้เกิดความรู้สึกนึกคิดที่ผิดๆในตัว และความรู้สึกนึกคิดที่ผิดๆนั้นก็คือ ตัวกูของกู
ตัวกูของกูคือ ตัวกำหนด ความคิด และการกระทำของมนุษย์
ตัวกูของกูคือ ตัวกำหนด ท่าทีของมนุษย์ที่มีต่อกัน
ตัวกูของกูคือ สิ่งที่ทำให้มนุษย์มองผู้อื่นจากมุมมองของตัวเองแทนที่จะมองผู้อื่นในสิ่งที่ผู้อื่นเป็น สุดท้ายก็ตัดสินคนอื่นอย่างเบาความ อย่างไร้ความคิด
และท้ายที่สุด ตัวกูของกู คือ สิ่งที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
อาดัมและเอวา ถูกปีศาจหลอกให้ยึดถือ ตัวกูของกู และดังนั้น อาดัมและเอวาจึงปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่งสอนของพระเป็นเจ้า
มนุษย์ปัจจุบันที่ยึดตัวกูของกู ก็มักจะไม่ทำตามอะไรๆที่พระเป็นเจ้าสอน อีกทั้งไม่ทำตามอะไรๆที่ผู้แทนของพระเป็นเจ้าสอนเช่นเดียวกัน แต่จะทำทุกอย่างที่ตัวเองคิดว่าถูก และดี ณ ตรงนี้ขอให้อ่านบทอ่านจากปรีชาญาณซ้ำอีกครั้งและเราจะพบตัวตนของเรา
พระวรสารวันนี้พระเยซูเรียกร้องมนุษย์ให้ติดตามพระองค์ เพื่อจะได้เป็นศิษย์ของพระองค์
ติดตามพระองค์แปลว่า พระองค์ทรงเรียกร้องให้ละทิ้งตัวกูของกู เพื่อติดตามตัวตนของพระเยซูเจ้า การติดตามพระเยซูเจ้าจะยังคงยึดตัวกูขอกูต่อไปอีกไม่ได้ แต่จำเป็นต้องละทิ้งตัวกูของกู
และการละทิ้งตัวกูของกู ก็คือ การแบกไม้กางเขน ของตนและติดตามพระเยซูเจ้าไป
การแบกไม้กางเขน ไม่ใช่ การหลั่งเลือด
การแบกไม้กางเขน ไม่ใช่ การน้อมรับความยากลำบาก หรือความเจ็บปวดจากภายนอก
การแบกไม้กางเขน ไม่ใช่การทรมานตัวเอง
แต่การแบกไม้กางเขน ก็คือ การละทิ้งตัวกูของกู
การแบกไม้กางเขน หรือ การละทิ้งตัวกูของกูก็คือ การตัดใจ ไม่ทำตามใจตัวเอง ไม่ยึดเอาตัวตนของตนเป็นศูนย์กลางแต่ยึดเอาพระเยซูเจ้าเป็นศูนย์กลาง
ดังนั้นกางเขน หรือ การแบกไม้กางเขน คือ การดำเนินชีวิต ตัดใจจากทุกสิ่งทุกอย่าง ตัดใจแม้กระทั่งไม่ยึดเอาน้ำใจของตัวเองเป็นที่ตั้ง ทำชีวิตให้ว่างเปล่าเป็นศูนย์ เพื่อจะได้ให้น้ำพระทัย หรือ พระประสงค์ของพระเจ้า หลั่งไหลเข้ามาในชีวิตของเรา และนั่นคือประโยคสุดท้ายของพระเยซูเจ้าในพระวรสารนักบุญลูกาวันนี้ “ดังนั้นทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ (คือทำตัวให้ว่างเปล่า หรือ การไม่ยึดตัวกูของกู) ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้”