เหตุเกิดที่ทะเลทราย
40 วัน ที่โมเสสได้อยู่กับพระเจ้าบนภูเขาซีนายได้รับคำสั่งสอนจากพระเจ้าเกี่ยวกับบทบัญญัติต่างๆ ที่ต้องถือปฏิบัติ รวมทั้งระเบียบพิธีการเกี่ยวกับพิธีกรรม ที่ชาวยิวต้องยึดถือ ข้างล่างก็เกิดเรื่อง ตามที่พระเจ้าได้บอกกับโมเสส “……เขาเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างรวดเร็วออกจากทางที่เราได้สั่งให้เขาเดิน”
ประชาชนยิวต้องการผู้นำที่จะดึงรั้งวิถีชีวิตของพวกเขาให้อยู่ในทางที่ถูกต้องของพระเป็นเจ้า พวกเขาจะต้องเห็นแบบอย่างชีวิตจากผู้นำนั้นเพื่อจะได้เดินในแนวทางที่ถูกต้องและถูกทาง
แต่ 40 วันที่โมเสสหายตัวไปอยู่กับพระบนภูเขา พวกเขาขาดผู้นำ อีกทั้งผู้นำที่อยู่กับพวกเขาข้างล่างในขณะนั้นก็เป็นผู้นำที่ไม่เหมาะสม ถ้าเราจะพลิกไปดูข้อความในหนังสืออพยพ บทที่ 32 บทเดียวกันนี้ ในข้อ 1 และข้อต่อๆไป เราก็จะพบความจริงประการนี้ “เมื่อประชาชนเห็นโมเสสล่าช้าอยู่ไม่ลงมาจากภูเขา จึงพากันมาหาอาโรน กล่าวว่า ‘จงลุกขึ้นสร้างพระให้เรา ซึ่งจะนำทางเรา เพราะว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำเราออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เราไม่ทราบว่าเขาเป็นอะไรไปแล้ว’ อาโรนจึงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘จงปลดตุ้มหูทองจากหูภรรยาและหูบุตรชาย หญิงของเจ้าทั้งหลายแล้วนำมาให้เราเถิด’” ประชาชนทั้งหมดจึงปลดตุ้มหูทองจากหูของตนมามอบให้อาโรน เมื่ออาโรนได้ทองคำจากพวกเขาแล้ว จึงใช้เครื่องมือหล่อทองคำเป็นรูปโคหนุ่ม แล้วเขาทั้งหลายประกาศว่า “โอ อิสราเอล สิ่งเหล่านี้แหละเป็นพระของเจ้าซึ่งนำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์” (อพยพ บทที่ 1 ข้อ 1 ถึง 4)
อาโรน แทนที่จะเป็นผู้นำแทนโมเสส ขณะที่โมเสสไม่อยู่ กลับทำตัวคล้อยตามความต้องการ ความอยากของประชาชน อาโรน ยอมตามใจพวกเขาในสิ่งที่เขาอยากและปรารถนา อาโรนจึงเป็นต้นเหตุทำให้ประชาชนเสียคน
ผู้นำที่ไม่อยู่กับประชาชน ผู้นำที่ไม่ยืนหยัดในความถูกต้อง เที่ยงธรรม เป็นต้นเหตุทำให้ประชาชนเสียคน
ด้วยเหตุดังกล่าวพระเป็นเจ้าจึงตรัสสั่งแก่โมเสสว่า “จงรีบลงไปข้างล่างเถิด…..” 40 วันบนภูเขาซีนาย โมเสสได้รับการอบรมอย่างจริงจังจากพระเจ้าในเรื่องของการดำเนินชีวิตที่จะเป็นประชากรที่เหมาะสมสำหรับพระองค์ ท่านถูกพระเจ้าสั่งสอนเรื่องบัญญัติ 10 ประการ ซึ่งเป็นแนวทางดำเนินชีวิต ท่านถูกสั่งสอนทางด้านพิธีกรรม ในเรื่องระเบียบ วิธีการถวายนมัสการอย่างเหมาะสมที่จะต้องถวายแด่พระเจ้า บัดนี้ท่านพร้อมแล้วที่จะลงไป แบ่งปันวิถีชีวิตที่ถูกต้องให้แก่ผู้อื่น
ผู้นำจะต้องได้รับการอบรมที่ถูกต้องเพื่อจะได้ดำเนินชีวิตเป็นตัวอย่าง และสามารถนำผู้อื่นได้ ในเรื่องนี้ อาโรนเป็นแบบฉบับของผู้นำที่ล้มเหลว ส่วนโมเสสนำประชาชนไปได้ด้วยดีในช่วงต้นๆ แต่ ณ เหตุการณ์ที่ เมรีบาห์ ที่ทำให้โมเสสล้มเหลว เพียงแค่โมเสสไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า เพียงเล็กน้อย ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่สาเหตุเล็กๆน้อยๆ นั้นกลับทำให้โมเสสถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้นำชาวอิสราเอลเข้าแผ่นดินพระสัญญา และตัวท่านเองก็ต้องตายนอกแผ่นดินพระสัญญา
เหตุการณ์ที่เมรีบาห์ ก็คือ เรื่องน้ำที่เมรีบาห์ พี่น้องหาอ่านได้ในหนังสือกันดารวิถี บทที่ 20 ข้อ 1-13 เรื่องมีอยู่ว่า โมเสสกับอาโรน พาประชาชนเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารซิน ณ ตรงนั้นประชาชนไม่มีน้ำจะดื่มจึง ร้องเรียนต่อโมเสสและอาโรน ท่านกราบทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าก็สั่งว่า “จงถือไม้เท้าและจงเรียกประชุมชุมนุมชน ทั้งตัวเจ้าและอาโรนพี่ชายของเจ้า และให้เจ้าทั้งสอง บอกหิน ต่อหน้าต่อตาประชาชนให้มันหลั่งน้ำออกมา ดังนั้น เจ้าจะเอาน้ำออกจากหินให้พวกเขา แล้วให้ทั้งชุมนุมชน และสัตว์เลี้ยงได้ดื่ม” (กันดารวิถี 20:8)
พระเจ้าสั่งโมเสสให้ บอกหิน คือให้ พูด หรือ สั่งหินให้เทน้ำออกมา แต่ในข้อที่ 11 ปรากฏว่า “โมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า และน้ำก็ไหลออกมาอย่างมากมาย…..”
โมเสสขัดคำสั่งพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามที่พระเจ้าสั่ง คือ ให้บอกหิน แต่ท่านก็อวดดี กลับไปทำมากกว่าที่พระสั่งคือ ตีหิน และตีถึง 2 ครั้ง ซึ่งเป็นการทำเกินคำสั่ง ขัดคำสั่งยังไม่พอแต่ยังทำเกินคำสั่ง สุดท้ายพระลงโทษ ไม่ให้นำชาวอิสราเอลเข้าแผ่นดินพระสัญญา
และนั้นคือผลของผู้นำที่ไม่นบน้อมเชื่อฟัง และเป็นตัวอย่างไม่ดี
ผู้นำที่ดีต้องเคร่งครัดต่อคำสั่ง และคำสอนของพระเจ้า และต้องเคร่งครัดในทุกตัวอักษรจึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้นำที่มีความเชื่อ(ฟัง) เพราะความเชื่อ ก็คือ ความเชื่อฟัง
ดังนั้น การจมอยู่ในบาปของคนบาป หรือ การพลัดหลงของแกะ รวมทั้งการหายไปของเงินเหรียญ อาจจะมีสาเหตุมาจาก ผู้นำที่ไม่ดี หรือ ผู้นำที่ไม่เชื่อฟัง ดังที่กล่าวไว้ข้างบนก็เป็นได้