ความเชื่อฟัง 2 แบบ
ทั้งเรื่องของนาอามานชาวซีเรียในบทอ่านที่ 1 และเรื่องของ คนโรคเรื้อน 10 คนในพระวรสาร มีบทสอนเดียวกันคือ หายจากโรคเรื้อนเพราะความเชื่อฟัง หรือ หายจากโรคเรื้อนเพราะการยอมทำตามที่สั่ง
เมื่อสั่งให้ “ไปแสดงตนแก่สมณะ” คนโรคเรื้อนทั้ง 10 คน ก็ยอมไปโดยไม่ได้โต้เถียง และไม่ได้ถามด้วยซ้ำว่า “ยังไม่ทันหายโรค แล้วจะไปแสดงตนแก่สมณะได้อย่างไร?” เพราะตามกฎคนที่เป็นโรคเรื้อนถ้าหายจากโรคเรื้อน ไม่ว่าด้วยวิธีใด ผิวหนังสะอาดไม่มีแผล และอาการข้างเคียงต่างๆไม่มี เมื่อมีตัวบ่งชี้ดังกล่าว ก็แน่ใจได้ว่า หายจากโรคเรื้อนแล้ว คนป่วยจึงต้องไปแสดงตัวแก่สมณะ แต่สำหรับคนโรคเรื้อนทั้ง 10 อาการเหล่านี้ยังไม่ปรากฏ แต่พระเยซูเจ้ากลับสั่งว่า “จงไปแสดงตนแก่สมณะ” ทั้ง 10 คน ก็ออกเดินทางไปทันที ทั้งๆที่ยังไม่หายโรค พวกเขาเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง และขณะที่พวกเขากำลังเดินทางไป พวกเขาก็หายจากโรค ดังนั้นจึงเป็นการหายจากโรคเพราะยอมทำตามคำสั่ง
ต่างจากกรณีของนาอามานชาวซีเรียในบทอ่านที่ 1 ซึ่งเป็นการบันทึกเรื่องราวของนาอามาน อย่างย่นย่อ ตัดเอาเฉพาะตอนจบของเรื่อง ดูง่ายๆเพียงแค่นาอามานลงไปจุ่มตัวในแม่น้ำจอร์แดน 7 ครั้ง ก็หายจากโรค
เรื่องราวของนาอามานสลับซับซ้อนกว่าที่เราได้อ่านจากบทอ่านที่ 1 คือ จาก 2 พงศ์กษัตริย์ 5:14-17 ในวันนี้ เพื่อจะเข้าใจอย่างละเอียดเราต้องอ่านเรื่องราวของนาอามานตั้งแต่ต้น นั่นคือ จากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่ 2 บทที่ 5 โดยเริ่มอ่านจากข้อ 1
ตัวนาอามานไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่ท่านเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพของพระราชาแห่งซีเรีย และเป็นคนสำคัญมากๆของพระราชา อีกทั้งยังเป็นคนมีเกียรติ มีความรู้ มีความสามารถ เป็นที่นับหน้าถือตาของทุกๆคน ในประเทศซีเรีย คนประเภทนี้ย่อมจะเป็นคนที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง เป็นธรรมดา
แต่นาอามานเป็นคนโชคร้าย คือ เป็นโรคเรื้อน
ภรรยาของนาอามานมีเด็กหญิงรับใช้อยู่คนหนึ่งเป็นเด็กหญิงชาวอิสราเอล ถูกจับเป็นเชลยจากการสู้รบและถูกนำมาเป็นทาสรับใช้ภรรยาของนาอามาน
เธอบอกนายหญิงว่า “เพียงแค่นายผู้ชายไปอยู่กับผู้เผยพระวจนะซึ่งขณะนั้นอยู่ในสะมาเรีย ผู้เผยพระวจนะก็จะรักษานาอามานให้หายได้” เรื่องถึงหูนาอามาน ท่านจึงไปทูลขออนุญาตกษัตริย์ที่จะเดินทางไปพบผู้เผยพระวจนะ
กษัตริย์ซีเรียอนุญาตและได้ส่งสารไปแจ้งพระราชาแห่งอิสราเอล นาอามานออกเดินทางไปยังอิสราเอลตรงนี้ก็มีเรื่องขัดเคืองกันเล็กน้อย แต่จะขอข้ามไป สุดท้ายนาอามานก็ได้ติดต่อกับผู้เผยพระวจนะเอลีชา ผ่านทางผู้ถือสาร
เอลีชาได้ส่งคนถือสารไปหานาอามานสั่งนาอามานให้ “ไปอาบน้ำในแม่น้ำจอร์แดน 7 ครั้ง แล้วจะหายโรค” พอได้รับสั่งเช่นนี้นาอามานโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และต่อว่าคนถือสารของเอลีชา พลางด่าฝากกลับไปกับคนถือสารว่า “ทำไมเอลีชาจึงไม่มาพบเราด้วยตนเอง ยืนต่อหน้าเรา โบกมือเหนือตัวเรา พลางออกนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลีชาให้โรคหายแต่ดันกลับสั่งให้ไปอาบน้ำในแม่น้ำจอร์แดน ที่เมืองดามัสกัสของซีเรีย มีทั้งแม่น้ำ อาบานา แม่น้ำฟารปาร์ ซึ่งเป็นแม่น้ำสำคัญยิ่งใหญ่กว่าแม่น้ำจอร์แดนตั้งเยอะ ทำไมไม่สั่งให้ไปอาบน้ำในแม่น้ำเหล่านั้น ดันสั่งให้ไปอาบน้ำในแม่น้ำกระจอกๆ เยี่ยงแม่น้ำจอร์แดน”
นาอามานโกรธมากหันหลังออกเดินทางจะกลับซีเรีย แต่สุดท้ายได้รับการเตือนสติจากบรรดานายทหารรับใช้อื่นๆ สุดท้ายท่านก็ใจอ่อนยอมปฏิบัติตามคำเตือนของทหารรับใช้เหล่านั้น และเรื่องจึงดำเนินต่อไปตามที่เราได้ฟังในบทอ่านที่ 1 วันนี้
นั่นคือ 2 ด้านของความเชื่อ ด้านของนาอามานผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติฝ่ายโลก ความรู้ ชื่อเสียง ความสามารถ เกียรติ ทรัพย์สินเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ ข้าทาสบริวาร และการยอมรับจากสังคมรอบด้าน เหล่านี้มักจะสร้างให้เกิดอุปสรรค หรือ กำแพงกั้นที่จะให้เชื่อและยอมปฏิบัติ ตามที่พระสั่งให้ทำผ่านผู้เผยพระวจนะ ผู้เพียบพร้อมฝ่ายโลกจะมีเหตุผลและความยึดมั่นส่วนตัวอยู่เสมอ พูดสั้นๆคือเป็นคนเชื่อยาก และอะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามที่ตัวคิดก็มักจะปฏิเสธที่จะทำ หรือไม่สนใจที่จะทำ
ด้านที่ 2 ก็คือ ด้านของคนโรคเรื้อนทั้ง 10 ซึ่งมีสถานะภาพด้านชีวิตและสังคมแตกต่าง หรือ ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงจากสถานะภาพของนาอามาน แต่พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่นาอามานไม่มีคือ ความพร้อมที่จะฟังและทำตาม โดยไม่ต้องคิดหาเหตุผลมากมาย พวกเขาทำตามทันทีที่พระเยซูเจ้าสั่งให้ทำ โดยไม่ทำตัวเหมือนนาอามาน ที่ถามโน่น ถามนี้ และสุดท้ายหันหลังจะกลับบ้าน
พวกคนโรคเรื้อนทั้ง 10 ทำตัวแบบที่พระเยซูเจ้าเคยพูดไว้ “ถ้าพวกท่านไม่ทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ พวกท่านจะเข้าสวรรค์ไม่ได้” ทำตัวเหมือนเด็กเล็กๆ ก็คือ ว่านอนสอนง่าย
มีข้อสังเกตอยู่นิดเดียว คือ เด็กเล็กๆในสมัยของพระเยซูเจ้า น่าจะเป็นเด็กว่านอนสอนง่ายจริงๆ น่ารัก ไม่ดื้อ ผู้ใหญ่สั่งให้ทำอะไรก็ทำ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 พันกว่าปี พัฒนาการต่างๆทำให้คนเปลี่ยนไป รวมทั้งเด็กๆด้วย ดังนั้นเด็กสมัยนี้จึงแตกต่างจากเด็กในสมัยของพระเยซูเจ้าโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น “ความเชื่อฟังแบบคนโรคเรื้อนทั้ง 10 เป็นความเชื่อฟังที่จะช่วยเราให้รอดพ้น”