ชุด… “คุณพ่อของผม” … “น้ำตาของความขอบคุณ“
“บัดนี้…ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั่วแผ่นดินนอกจากพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้น… ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ท่านเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์” (เทียบ2พกษ5:15 และ2ทธ2:11)
“พ่อร้องไห้ไหม…?” “พ่อไหวไหม…สู้สู้นะ” หลายท่านพอจะทราบข่าวเรื่อง”บิดาของพ่อพระได้ยกและรับไปเมื่อวันศุกร์ต้นเดือนที่ผ่านมามีพี่น้องหลายท่านเป็นห่วงและปรารถนาจะมอบกำลังใจหลายท่านสอบถามด้วยความเป็นห่วงว่า”พ่อร้องไห้พ่อมีน้ำตาไหม??” ก็มีบ้างครับพี่น้อง พ่อเป็นมนุษย์ครับ…มิใช่เป็นจระเข้เสียหน่อย(ฮาๆๆๆ…ยังพอจะมีมุขขำอยู่บ้าง) พ่อบอกกับหลายท่านไปเช่นนั้น ยังบอกอีกว่า”ก็แอบมีนิดนิดไม่กล้าให้ใครเห็นมากนัก ขอกันว่าอย่าทำตาซึ้งทำตาแดงเรื่อๆอย่ามีหยดน้ำตาใส่ต่อหน้า… เดี๋ยวจะพาลมีน้ำตาไหลจริงๆใหญ่โต…อายเขา”
พี่น้องสัตบุรุษท่านหนึ่งอดเป็นห่วง ให้คำแนะนำและปลอบโยนน่าสนใจและบรรเทาใจได้มากจริงๆครับจึงขออนุญาตนำมาถ่ายทอดแบ่งปันกัน“พ่อ… ถ้าพ่อรู้สึกถ้าพ่ออยากร้องไห้พ่อก็อย่าเก็บไว้ปล่อยมาเถิดน้ำตาเป็นเครื่องช่วยและปลดปล่อยให้จิตใจของเรานั้นเข้มแข็งและพัฒนาสูงยิ่งขึ้น…” และอะไรประมาณนี้แหละครับ สรุปว่าน้ำตาในความเศร้าโศกเสียใจมีคุณค่าไม่ต่างจากน้ำตาในยามปีติชื่นชนยินดีครับ ต้องขอขอบคุณด้วยความซึ้งใจมาถึงพี่น้องสัตบุรุษท่านนี้เป็นอย่างสูงครับ และขอขอบคุณสำหรับความห่วงใยความเมตตาเอื้ออาทรของพี่น้องที่รักทุกท่าน นับจากท่านที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุดจนค่อยๆขยับเป็นวงกว้างออกไปเรื่อยๆ กำลังใจความห่วงใยและความช่วยเหลือของทุกท่านเป็นพลังภาวนาสำหรับดวงวิญญาณคุณพ่อบุญมี แก้วแหวน บิดาของพ่อ และเป็นพลังชีวิตสำหรับพ่อเองที่จะเดินหน้าในชีวิตสงฆ์ต่อไปครับ
“บัดนี้…ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดทั่วแผ่นดินนอกจากพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้น… ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ท่านเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์” (เทียบ2พกษ5:15 และ2ทธ2:11)
กลับมาที่เรื่อง“น้ำตา“กันอีกครั้งหนึ่งครับ เมื่อห่วงวินาทีแรกที่ความรู้สึกของคำว่า”ลูกกำพร้าพ่อ” แวบเข้ามายามที่เห็นผู้เป็นบิดานอนแน่นนิ่งอยู่ต่อหน้า พ่อเอาหน้าผากแตะกับหน้าผากของบิดามือขวาจับบริเวณศีรษะของพ่อ มือซ้ายจับกุมมือซ้ายของพ่อปากพร่ำบอกตลอด… “พ่อ…ผมอยู่ตรงนี้นะ… พ่อ…เราสวดด้วยกันนะ” แม้จะ”ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก” ตามที่เรามักจะพูดเล่นๆกันและก็สวดกันสองคนพ่อลูกมั่นใจคนเดียวเช่นนั้น… แต่มือพ่อ…มันเย็น…เย็นที่สุดในชีวิต… “น้ำตาไหล…” คิดถึงวินาทีที่อยู่กับพ่อกับเหตุการณ์ตรงนี้ ตอนนี้และภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมายามที่มีพ่อ… มีพ่อที่มืออุ่นๆนิ่มๆยังมีไออุ่นอยู่”น้ำตามันดันไหล…”
ถูกถามว่า… “ทำไมไม่เห็นพ่อร้องไห้… ไม่เห็นขอบตาเรื่อแดงหรือมีหยดน้ำตา…” คำตอบคือ… เมื่อเรามองเจาะลึกลงไปเฉพาะตรงช่วงเวลานี้ที่เจ็บทุกข์เจ็บปวดอีกทั้งมองย้อนไปในอดีตความเจ็บปวดมันรุนแรงเหลือเกินความเจ็บปวดจากการสูญเสียความเจ็บปวดจากความรู้สึกผูกยึดและสายใยสุดท้ายมันขาดผึงลง”ไม่มีไออุ่นอีกแล้ว…นะ” น้ำตามันจะไหล…
“พระเยซูโปรดสงสารพวกเราเถิด…จงลุกขึ้นไปเถิดความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว“(ลก17:13,19)
พ่อตัดสินใจ มองร่างของบิดาร่างของท่านเย็นที่สุดเท่าที่พ่อจำความและรู้สึกได้ พ่อตัดสินใจ มองณห่วงวินาทีปัจจุบันนี้ มองความอบอุ่นที่มากจากหัวใจทุกดวงรอบกายที่เป็นพลังสำหรับพ่อ พ่อมองต่อไป… ไปข้างหน้า และเราพบว่ามีพลังของพระคอยช่วยพยุงเราให้เดินหน้าต่อไปด้วยหัวใจเข้มแข็ง
ขอบคุณหัวใจและชีวิตของ”พ่อมี” ที่อบอุ่นแม้จะไม่มีอีกแน่นอนแล้ว ไออุ่นที่คุ้นเคย แต่หัวใจของท่านอบอุ่นเสมอสำหรับลูกๆหลานๆทุกคน ขอบคุณหัวใจของพี่น้องทุกดวง…มันเปี่ยมพลังจริงๆ ขอบคุณอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯที่เปรียบประดุจบิดรมารดา…เป็นประตูสำหรับหัวใจบอบช้ำของพวกเราลูกหลานเสมอ และที่สุดขอบคุณพระเป็นเจ้าพระบิดา“พระองค์ทรงเป็นโล่ห์กำบัง…ทรงเป็นพละกำลังและบทเพลงของข้าพเจ้า…พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอด…”
มองความรักณวินาทีนี้…แล้วจะไม่ร้องไห้… ก้าวเดินต่อไปด้วยหัวใจที่ขอบคุณและเข้มแข็ง