วันสิ้นโลก
ขณะทรงยืนเทศน์สอนอยู่ในบริเวณลานพระวิหารในกรุงเยรูซาแลม แวดล้อมไปด้วยฝูงชนที่กำลังฟังพระองค์อยู่ พระเยซูเจ้าทรงมองไปยังส่วนต่างๆของพระวิหารที่สวยงามตระการตา ทรงถอนหายใจ และทรงเริ่มต้นทำนายถึงความพินาศของพระวิหารหลังนี้ “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้จะไม่มีก้อนหินซ้อนกันอยู่เลย”
พระเยซูทรงกล่าวถึงการทำลายล้างที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ถึงสี่สิบปีข้างหน้า พระเยซูเจ้าเริ่มต้นประกาศข่าวดีในช่วงเวลาประมาณ วันปัสกา ค.ศ.28 จนถึงวันปัสกา ค.ศ.29 โดยเริ่มต้นเทศน์สอนด้วยบทเทศน์บนภูเขาในเดือนมิถุนายน ค.ศ.28 ส่วนการทำลายล้างพระวิหาร และนครเยรูซาแลมเกิดขึ้นในปี ค.ศ.70 นั่นคือ หลังการเสด็จขึ้นสวรรค์ประมาณ 40 ปี
การแข็งข้อของชาวยิวภายใต้การปกครองของโรมันเกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ก่อนการบังเกิดของพระเยซูเจ้า และเหตุการณ์ต่างๆถึงจุดวิกฤต เมื่อจักรพรรดิเนโรสิ้นพระชนม์ ในปี ค.ศ.69 เวสปาเซียนได้สืบทอดอำนาจขึ้นเป็นจักรพรรดิต่อจากเนโร และได้มอบหมายให้ติตัสบุตรชายเป็นผู้ทำหน้าที่ปราบกบฎยิว ซึ่งในขณะนั้นเข้มข้นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ติตัสยกทัพเข้าโจมตี นครเยรูซาแลม ขับไล่พวกยิวจนพวกยิวต้องหลบหนีไปอาศัยในพระวิหาร โดยหวังจะได้รับการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้า ติตัสสั่งให้จุดไฟเผาพระวิหาร โดยเริ่มเผาจากประตูพระวิหาร เพื่อไม่ให้มีทางออก ไฟลามไปที่ตัวพระวิหารและจากนั้นก็ลามไปไหม้ทั่วทั้งนครเยรูซาแลม กองทัพบุกเข้าตีพวกยิวที่หลบอยู่ในพระวิหารและฆ่าชาวยิวจำนวน 600,000 คน เมืองทั้งเมืองถูกเผาแทบไม่เหลือ มียิวรอดชีวิตอยู่ประมาณ 300,000 คน ซึ่งจากนั้นก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก
นั่นคือเหตุการณ์ในปี ค.ศ.70 ที่พระเยซูเจ้าทรงทำนายไว้ และพระองค์ก็ยังได้กล่าวไปถึงการสิ้นโลกในเวลาเดียวกัน โดยทรงให้หมายสำคัญ 4 อย่าง ที่จะเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาของพระองค์ คือ
1. การกำเนิดของพระคริสต์เทียม
2. สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างชนชาติต่างๆ
3. ความวิปริตของธรรมชาติ และ โรคภัยไข้เจ็บและความอดอยาก และประการสุดท้าย
4. การเบียดเบียนข่มเหงต่อผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูเจ้า
4 เหตุการณ์จะต้องเกิดขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งที่ 2 ของพระเยซูเจ้า
ย้อนไปดูการทำลายพระวิหารในปี ค.ศ.70 ยิว 6 แสนคน ที่หลบไปอยู่ในพระวิหารคิดว่าในพระวิหารที่ประทับของพระเจ้านั้น พระองค์คงจะช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากการถูกฆ่าของชาวโรมัน แต่แล้วพระวิหารกลับกลายเป็นที่ที่จะรวมพวเขาให้ถูกฆ่าได้อย่างสะดวก ในฉากสุดท้ายๆของหนังเรื่อง 2012 ขณะที่โลกเกือบทั้งโลกกำลังถล่มทลาย ก็มีภาพๆหนึ่งปรากฏออกมา คนจำนวนมหาศาล รวมตัวกันอยู่ที่ลานมหาวิหารนักบุญเปโตร สวดภาวนาขอให้ รอดพ้นจากภัยพิบัติ ส่วนภายในตัวมหาวิหารก็เป็นพวกพระผู้ใหญ่ทั้งหลาย สวดภาวนาเช่นเดียวกัน แต่หลังจากนั้น ไม่กี่อึดใจ โดมมหาวิหารก็ล้มครืนลงมาบนลานมหาวิหาร เดาเอาเองว่าจะมีใครรอดชีวิตหรือไม่
หลายคนคิด และก็ตอบออกมาดังๆว่า ถ้ามีอะไรทำนองนี้เกิดขึ้น ก็จะหลบเข้าไปอยู่ในวัด ในอาสนวิหาร ฯลฯ ก็จะปลอดภัย
ค.ศ.70 พิสูจน์ตัวของมันเองให้เราได้เห็นแล้ว ยิว 6 แสนคน ถูกฆ่า เหลืออีก 3 แสนก็กระจัดกระจายไปทั่วโลก
อะไรจะช่วยป้องกันเรา หรือช่วยเราให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤต ไม่ว่าจะเป็น จากเหตุของธรรมชาติ หรือ วิกฤตที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์?
ประโยคสุดท้ายของพระวรสารวันนี้บอกเราด้วยคำพูดของพระเยซูเจ้าเอง “แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว ด้วยการยืนหยัดมั่นคง (ในพระเจ้า) ท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้”
พระวาจาดังกล่าวตรงกับมัทธิวบทที่ 10 ข้อ 30 “ผมทุกเส้นบนศีรษะถูกนับไว้หมดแล้ว”
ความรอดพ้นจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเราด้วยวิธีนี้เท่านั้น คือ “ด้วยการยืนหยัดมั่นคง(ในพระเจ้า)” และคำว่า เส้นผมทุกเส้นถูกนับไว้หมดแล้วก็หมายถึง พระเจ้ารู้จักเราแต่ละคนดี ทรงรู้ละเอียดลึกว่าใครจริงใจ ใครไม่จริงใจ ทรงรู้ว่าใครรักพระองค์จริงๆ หรือใคร ทำตัวแบบฟาริสี ทรงรู้ว่าใครหน้าไหว้หลังหลอก ทรงรู้ชีวิตของมนุษย์ทุกชีวิตที่อยู่ในโลก และทรงรู้ว่า สำหรับแต่ละคนพระองค์ควรจะจัดการอย่างไร “เรารู้จักแกะ (แต่ละตัว) ของเรา” แต่ปัญหาที่ตามมาคือ “แกะของพระองค์ (แต่ละตัว) รู้จักพระองค์หรือไม่”