การพบพระเยซูและชีวิตที่เปลี่ยนไป
“เจ้าสัญชาติงูร้าย ผู้ใดแนะนำเจ้าให้หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด”
จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด หรือ จงดำเนินชีวิตให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด
มหาตมะ คานธี ได้พูดประโยคที่เฉียบคม เสียดแทงความรู้สึกนึกคิดของคริสตชนทุกคน นับตั้งแต่บนสุดลงมาจนถึงล่างสุด ท่านกล่าวไว้ว่า “ฉันรักพระคริสตเจ้า แต่ฉันไม่ได้รักพวกคริสตชน เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นเหมือนกับพระคริสตเจ้า”
ดังนั้นสิ่งที่มหาตมะ คานธี ได้กล่าวไว้ ก็เหมือนกับ หรือ มีความหมายเดียวกับสิ่งที่ยอห์นผู้ทำพิธีล้าง กล่าวกับพวกฟาริสี และสะดูสีที่มาขอรับพิธีล้างจากท่าน พวกคนเหล่านั้นมาขอรับพิธีล้างเพราะเห็นว่า คนส่วนใหญ่เขาทำกันก็เลยทำตาม แต่เมื่อกลับไปบ้านก็ประพฤติตนเหมือนเดิม เคยเป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลง
เราคริสตชนได้รับศีลล้างบาป เราไม่เพียงแค่รับศีลที่ทำให้บาปกำเนิดหมดไป เราไม่เพียงแค่เปลี่ยนจากการเป็นลูกปีศาจมาสู่การเป็นลูกพระ ศีลล้างบาปทำให้เราแต่ละคนมีชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าอยู่ในตัวเอง ชีวิตของเราถูกเปลี่ยนเป็นชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า ดังนั้น ด้วยคำของยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง “เราจะต้องประพฤติตน และดำเนินชีวิตให้สมกับสิ่งที่เราได้รับมา” คือ ต้องทำตัวของเราให้เหมือนกับพระคริสตเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ดังนั้น นักบุญเปาโลจึงเตือนเราว่า “ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติเลวทรามตามราคะตัณหาที่หลอกให้หลงไป จงมีจิตใจและความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์ มีความชอบธรรม และความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง” (เอเฟซัส 4 ข้อ 22-24) และสิ่งที่นักบุญเปาโลพูดในเอเฟซัสบทที่ 4 ข้อ 22-24 ก็คือ กระบวนการ การทำลายตัวตนเก่าและเสริมสร้างตัวตนใหม่
ช่วงเวลาก่อนการปิดปีแห่งความเชื่อ ที่ผ่านมา ทางสังฆมณฑลกรุงเทพฯ เน้นให้มีการเตรียม ด้วยการเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจ หรือ แม้แต่ช่วงก่อนวันคริสต์มาส ปีใหม่ ที่สังฆมณฑลอยากให้ทุกวัดมีการเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจสัตบุรุษ การเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจ ไม่ได้แปลว่าต้องใช้เวลาในความเงียบสวดภาวนา ฟังเทศน์ หรือ จะต้องใช้เวลาหลายๆวัน บางคนใช้เวลาเป็นเดือน หรือเป็นปี แต่ปรากฎพอออกจากเข้าเงียบทุกอย่างยังเหมือนเดิม ชีวิตก่อนเข้าเงียบเป็นอย่างไร หลังจากออกจากเงียบก็ยังเหมือนเดิม
การเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจคือ ช่วงเวลาที่เราจะต้องพบพระเจ้า และพบตัวเอง และในการพบนั้น เราต้องให้พระเจ้าผู้ที่เราพบ ผ่าตัดชีวิตของเรา ให้พระองค์ชำแหละชำแรกชีวิตของเราให้เรามองเห็นเนื้อร้ายของชีวิต จากนั้นพระองค์จะทรงแนะนำให้เรามองเห็นวิธีการกำจัดเนื้อร้ายนั้น สังเกตคำว่า พระองค์จะทรงแนะนำเราให้มองเห็นวิธีการกำจัดเนื้อร้ายนั้น โดยพระองค์จะทรงยืนช่วยอยู่ข้างๆ
ดังนั้น การกำจัดเนื้อร้าย ไม่ใช่การกระทำของพระแต่ต้องเป็นการกระทำของตัวเรา เราต้องเป็นผู้กำจัดเนื้อร้ายด้วยตัวของเราเอง
นี่คือ ความหมายแท้ๆ ของการเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจ คือเมื่อออกจากเข้าเงียบแล้ว เราต้องกลายเป็นคนใหม่ขึ้นอีกนิดหนึ่ง
แต่ปรากฎว่าการเข้าเงียบฟื้นฟูจิตใจทั้งหลายที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักร มักไม่ค่อยได้ผลตามที่กล่าวนี้ กลายเป็นว่าการเข้าเงียบแต่ละครั้ง คือการได้พักผ่อน นอนมากขึ้น กินดีนิดหน่อย แต่ออกมาจากเข้าเงียบแล้ว ชีวิตยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซ้ำร้ายในระหว่างการเข้าเงียบ เราหลายๆคน ต่างทุรนทุราย อยากให้การเข้าเงียบจบเร็วๆ หรือแม้ขณะเข้าเงียบยังมีธุระปะปัง แทรกเข้ามาทำให้ต้องออกไปทำธุระเป็นบางครั้งบางคราว หรือ ต้องติดต่อธุระทางโทรศัพท์อยู่เนื่องๆ
ความจริงแล้วเราสามารถพบกับพระเยซูได้ทุกวันผ่านกระบวนการต่างๆที่พระศาสนจักรแนะนำ แต่ความหมายแท้ๆของการพบพระเยซูเจ้าไม่ได้มีความหมายแบบตื้นๆ ที่เราเข้าใจกัน เช่นพบพระเยซูต้องเข้าวัดไปเฝ้าศีล พบพระเยซูต้องอยู่ต่อหน้าศีลมหาสนิทและสวดนานๆ หรือพบพระเยซูเจ้าต้องไปรับศีล ฯลฯ ความหมายของการที่ คนๆหนึ่งพบพระเยซูจริงๆก็คือ คนๆนั้นเปลี่ยนชีวิต
มารี ชาวมักดาลา พบพระเยซูแล้วชีวิตเปลี่ยน
ซักเคียส พบพระเยซูแล้วชีวิตเปลี่ยน
เปาโล พบพระเยซูแล้วชีวิตเปลี่ยน ฯลฯ
ส่วนเราถ้าเราพบพระเยซูจริงๆแล้วชีวิตของเราต้องเปลี่ยนแต่ถ้ายังไม่เปลี่ยนก็แปลว่า เรายังไม่ได้พบพระเยซูเจ้าอย่างจริงๆ