เลิกแคลงใจสงสัยในพระเมตตาของพระ
หลายคนคงจะสงสัยในหัวข้อของบทสนทนาในวันนี้ว่ามันแปลว่าอย่างไร “เลิกแคลงใจสงสัยในพระเมตตาของพระ” ที่ใส่หัวข้อสนทนาดังกล่าว ก็เนื่องมาจากคำพูดของพระเยซูเจ้าเองในพระวรสารประจำวันอาทิตย์นี้ คือ ข้อที่ 6 ของพระวรสารมัทธิว บทที่ 11 ประโยคดังกล่าวคือ “ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข”
แคลง เคลือบแคลง หรือ คลางแคลง แปลว่า สงสัย ไม่แน่ใจ แคลงใจ จึงแปลว่า สงสัยอยู่ในใจ
ยอห์นขณะติดคุกได้ยินข่าวเล่าลือเกี่ยวกับตัวพระเยซูเจ้าในสิ่งที่พระองค์ได้ทำอยู่ในขณะนั้น แม้ตัวท่านเองจะเป็นผู้ที่ได้ทำพิธีล้างให้กับพระองค์ และยังได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก….” (ยอห์น 1:29) ท่านมั่นใจในตัวพระเยซูเจ้าในขณะนั้น ว่า พระเยซูคือบุตรของพระเจ้า ที่พระเป็นเจ้าได้ทรงส่งมาเพื่อกอบกู้อิสราเอล และท่านก็ยืนยันเรื่องนี้อย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
แต่ในความคิดของยอห์น ท่านคิดว่าการช่วยกอบกู้อิสราเอล จะต้องเป็นแบบรูปเดิมๆ ของบรรดาประกาศกในอดีต คือ เตือนด้วยปาก ด้วยคำพูด และบางครั้งต้องใช้คำพูดแรงๆ อย่างที่ท่านได้ทำกับฟาริสีและสะดูสี
เมื่อยอห์นเห็นชาวฟาริสี และสะดูสี หลายคนมารับพิธีล้าง จึงพูดว่า “เจ้าสัญชาติงูร้าย ผู้ใดแนะนำเจ้าให้หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด อย่าอวดอ้างตัวเองว่า ‘เรามีอับราฮัมเป็นบิดา’ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ก้อนหินเหล่านี้กลายเป็นลูกของอับราฮัมได้ บัดนี้ ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว ต้นไม้ต้นใดที่ไม่เกิดผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ ข้าพเจ้าใช้น้ำทำพิธีล้างให้ท่านทั้งหลาย เพื่อให้สำนึกผิดกลับใจ แต่ผู้ที่จะมาภายหลังข้าพเจ้าทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้า และข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะถือรองเท้าของเขา เขาจะทำพิธีล้างให้ท่านเดชะพระจิตเจ้าและไฟ เขากำลังถือพลั่วอยู่แล้ว จะชำระลานนวดข้าวให้สะอาด จะรวบรวมข้าวใส่ยุ้ง ส่วนฟางนั้นจะเผาทิ้งในไฟที่ไม่รู้ดับ” (มัทธิว 3:7-13)
ยอห์นใช้คำแรงและมีลักษณะข่มขู่ เพื่อให้เกิดความรู้สึกสะดุ้งตกใจ เกิดความรู้สึกหวาดกลัวและจะได้กลับใจ ลักษณะการเทศน์สอนดังกล่าวยังคงมีอยู่ประปรายในพระศาสนจักรของเรา
ยอห์นคลางแคลงสงสัยว่า “ทำไมพระเยซูเจ้าจึงใจดีนัก? ทำไมพระองค์ไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคิด?”
ความคลางแคลงสงสัยนี้ไม่ได้มีเฉพาะในตัวของยอห์นผู้ทำพิธีล้างเท่านั้น แต่ความคลางแคลงสงสัยมีอยู่แม้ในบรรดาอัครสาวกของพระองค์เอง พวกเขาคิดอยู่ในใจว่า “ทำไมพระเยซูเจ้าจึงใจดีเหลือเกิน ทำไมพระองค์จึงช่างอดทน อดกลั้น ต่อคนบาปรวมทั้งผู้ที่ต่อต้านพระองค์?” “ทำไมพระเยซูเจ้าจึงไม่ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจัดการกับคนบาป และคนที่ต่อต้านพระองค์ให้มันจบๆไป?”
ครั้งหนึ่งชาวสะมาเรียในหมู่บ้านหนึ่ง ประกาศไม่ต้อนรับพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จไปเทศน์สอนในหมู่บ้านนั้น จนอัครสาวก 2 คน ของพระองค์ทนไม่ได้ 2 คนนั้นคือ ยากอบและยอห์น พวกเขาทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคนเหล่านี้หรือไม่?” แต่ศิษย์ทั้ง 2 กลับถูกพระเยซูเจ้าตำหนิ
ความเพียรอดทน อดกลั้น และความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรามนุษย์ผู้เป็นคนบาป ปรากฎชัดเจนยิ่งขึ้นบนไม้กางเขน เมื่อพระองค์ปล่อยให้คนเหล่านั้นทรมานพระองค์ เยาะเย้ยพระองค์ และนำพระองค์ไปตรึงกางเขน อย่างไร้ความผิด
คนบาปทุกคนที่เข้ามาหาพระองค์ด้วยจิตสำนึกจะได้รับพระเมตตาจากพระองค์เสมอ ดังคำของอิสยาห์วันนี้ “จงมานะเถิด อย่ากลัวเลย ดูซิ พระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมาเพื่อให้ท่านรอดพ้น และจะทรงลงโทษศัตรูของท่านอย่างสาสม แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะแลเห็น หูของคนหูหนวกจะได้ยิน คนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวาง และคนใบ้จะร้องตะโกนด้วยความยินดี”
เราจะต้องไม่สงสัย แคลงใจในพระเมตตา และความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเยซูเจ้า และในเวลาเดียวกันความรักและความเมตตารวมทั้งความอดทน เหล่านี้น่าจะเป็นแบบฉบับการดำเนินชีวิตคริสตชนของพวกเราแต่ละคนด้วย ความรัก ความเมตตา และความอดทน ต่อผู้ที่ผิดพลาด หรือ เป็นคนบาป หรือแม้กระทั่งเป็นบุคคลที่ดำเนินชีวิตอย่างดื้อด้าน จะต้องเป็นความรัก ความเมตตา และความอดทน อย่างพระเยซูเจ้าคือ แบบไร้ขอบเขตและไม่มีขีดจำกัด เพียงแต่เราจะทำอย่างนั้นได้หรือไม่เท่านั้นเอง และอีกประการหนึ่ง เราก็จะต้องไม่สงสัยแคลงใจในความรัก ความเมตตา และความอดทนของพระเยซูเจ้า เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เรามีกำลังใจ และความกล้าหาญที่จะปรับปรุงแก้ไขตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ ตามคำให้กำลังใจของพระที่เตือนเราในอิสยาห์ว่า “จงมานะเถิดและอย่ากลัวเลย” และอีกประโยคหนึ่งของพระเยซูเจ้า “ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข”