การเลือกนิรันดร
ลูกทั้ง 7 คนที่อยู่ใกล้ชิดบิดา แต่งตัวดี หน้าตาสะอาดสะอ้านปราศจากเหงื่อไคล เพราะไม่อยู่กลางแดด ไม่ถูกลมถูกฝน แต่ไม่ได้รับเลือก การเลือกสรรไปตกอยู่กับลูกคนสุดท้อง ที่อยู่กลางทุ่ง เฝ้าฝูงแกะ แม้จะมีหน้าตาดี ผมแดง ตาสวย รูปร่างดี แต่เมื่ออยู่กับธรรมชาติ ก็ย่อมสกปรก มอมแมม มีกลิ่นสาบกลิ่นสางไปบ้าง แต่พระเป็นเจ้าก็ทรงเลือกเด็กคนนี้ “เจิมเขาเถอะ เป็นคนนี้แหละ”
การเลือกสรรของพระเป็นเจ้า ลึกล้ำเกินกว่าที่เรามนุษย์ธรรมดาๆ จะเข้าใจ แต่เมื่อการเลือกนั้นปรากฏชัดแจ้งก็ เป็นคนนี้แหละ
เราเคยพิศวงบ้างไหมว่า ทำไมตัวเรา บิดามารดา และปู่ย่า ตายาย ของเราจึงเป็น คริสตชน
เราเคยพิศวงบ้างไหมว่า ทำไมตัวเรา ณ เวลานี้ เดี๋ยวนี้ จึงเป็นพระสงฆ์ นักบวช
และเราเคยพิศวงบ้างไมว่า พ่อแม่ พี่น้องทั้งบ้านเป็นพุทธหมด แต่วันดีคืนดี เราเกิดเลื่อมใสศรัทธาในคริสตศาสนา ขอมาเรียนคำสอน และที่สุด ได้รับศีลล้างบาป กลายเป็นคริสตชนคนเดียว ในบ้าน
คำตอบง่ายๆก็คือ ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร หรือ อย่างไร ณ เวลานี้ ขณะนี้ พระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้เลือก เป็นคนนี้แหละ และการเลือกของพระเป็นเจ้า ก็ตรงกับสิ่งที่นักบุญเปาโลเขียนไว้ในจดหมายของท่านถึงคริสตชนชาวเอเฟซัส บทที่ 1 ข้อ 3-5
“ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์ทรงอวยพระพรแก่เราโดยประทานพระพรนานาประการของพระจิตเจ้าจากสวรรค์เดชะพระคริสตเจ้า พระเจ้าทรงเลือกสรรเราในพระคริสตเจ้าแล้ว ตั้งแต่ก่อนเนรมิตสร้างโลก เพื่อให้เราศักดิ์สิทธิ์และปราศจากมลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ด้วยความรัก พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วที่จะให้เราเป็นบุตรบุญธรรมเดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตามพระประสงค์ที่ทรงพอพระทัย”
การเลือกนั้นเป็นการเลือกนิรันดร การเลือกนั้นเป็นการเลือกที่นิรันดรอยู่ในความคิดขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นองค์นิรันดรภาพ
สิ่งนี้จะไม่ทำให้เรารู้สึก ตะลึงพรึงเพริดบ้างเทียวหรือว่า ความเป็นตัวของเรานั้นอยู่ในความคิดของพระเป็นเจ้า ตั้งแต่นิรันดรภาพ
เราถูกเลือกไว้แล้วตั้งแต่นิรันดรภาพ
เราจะต้องตระหนักรู้ข้อนี้ให้ได้ และอย่าทำตัวเป็นเหมือน คนตาบอดแต่กำเนิด ในพระวรสาร
และเช่นเดียวกัน นักบุญเปาโลก็เตือนเรา ในจดหมายถึงชาวเอเฟซัสฉบับเดียวกัน แต่เป็นบทที่ 8 ข้อ 8-14 ซึ่งเป็นบทอ่านของวันนี้
“ดังนั้นท่านจงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด”(เอเฟซัส 5:8)
และอีกประโยคสำคัญ
“ผู้หลับใหล จงตื่นเถิด จงลุกขึ้นจากบรรดาผู้ตาย”(เอเฟซัส 5:14)
ศีลล้างบาปก็รับแล้ว พระจิตเจ้าผู้ส่องสว่างก็อยู่กับเราแล้ว แต่ปรากฏการณ์ ของชีวิตคริสตชนในปัจจุบัน (ส่วนหนึ่ง) และปรากฏการณ์ของพระศาสนจักรในปัจจุบัน (ส่วนหนึ่ง) ก็ยัง คงหลับใหล ตามืดบอด อยู่กับพลังอำนาจที่ปีศาจได้วางกับดักไว้
Martel Trevorได้เขียนหนังสือน่าอ่านไว้เล่มหนึ่งคือ Seed of Satan แปลเป็นไทยก็คือ “เมล็ดพันธ์แห่งปีศาจ” เมล็ดพันธ์นี้ถูกหว่านไว้ หลังจากพระเจ้าได้สร้างโลกแล้ว และเมล็ดพันธ์นี้เองได้ทำให้อาดัม และเอวาติดกับ เมล็ดพันธ์นี้ยังคงเจริญงอกงามเรื่อยมา และมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงวันที่ พระบุตรได้เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เมล็ดพันธ์แห่งปีศาจเริ่มถูกควบคุมโดยพลังอำนาจของพระเป็นเจ้า แต่ยังไม่หมดฤทธิ์ เมล็ดพันธ์แห่งปีศาจยังคงแผลงฤทธิ์อยู่ต่อไปในโลก และกลายเป็นการสู้รบระหว่างความสว่างและความมืด มีทั้งชัยชนะ และความเพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ ควบคู่กันไป
การต่อสู้นี้ยังคงดำเนินอยู่ และพวกเราผู้ถูกเลือกสรร ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ ต่อสู้กับพลังแห่งความมืดนี้ แต่สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ทำตามที่เปาโลได้เตือนเราไว้
“จงตื่นจากความหลับใหล จงลุกขึ้นจากความตาย และจากบรรดาผู้ตาย “(เอเฟซัส 5:14)
เปาโลเตือนคริสตชนให้ ตื่นจากความมืดบอดตื่นจากการไขว่คว้า แสวงหา สิ่งไร้สาระ ที่ปีศาจได้หว่านเอาไว้
เราหลายคนไขว่คว้าแสวงหาจนยอมตาย ไปกับสิ่งเหล่านั้น
พวกเราถูกเลือกไว้ตั้งแต่ก่อนสร้างโลกดังที่ท่านเปาโลกล่าวไว้ ให้เป็นทหารหาญของพระคริสเจ้า ในการต่อสู้กับอำนาจมืดเหล่านั้น แต่เราต้อง ตื่นจากความมืดบอดและความตายก่อน โดยอาศัย แสงสว่างของพระคริสตเจ้า (เอเฟซัส 5:14)
มหาพรตและปาสกา คือช่วงเวลาที่เราต้องทำหน้าที่อันสำคัญ ของการตื่นจากความมืด และลุกขึ้นจากความตาย เพื่อจะสามารถทำหน้าที่ทหารหาญของพระคริสตเจ้า เพราะพวกเราคือผู้ที่ถูกเลือกไว้แล้ว