วิถีชุมชนวัดฃ…หนทางใหม่ของการเป็นคริสตชน (1)
โดยคุณพ่อยวงชัยยะกิจสวัสดิ์
ในอุปมาเรื่องผู้หว่านพระเยซูเจ้าทรงเปรียบพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเสมือนเมล็ดพืชส่วนเราผู้ฟังเป็นเสมือนดิน บางคนเป็นดินริมทางเดินฟังพระวาจาไม่เข้าใจมารร้ายก็มาถอนสิ่งที่หว่านลงในใจจนหมด บางคนเป็นดินบนพื้นหินฟังพระวาจาแล้วรับไว้ด้วยความยินดีแต่ไม่มีรากเมื่อเผชิญความยากลำบากเพราะพระวาจาก็ยอมแพ้ทันที บางคนเป็นดินที่มีพงหนามปกคลุมฟังพระวาจาก็จริงแต่ความวุ่นวายทางโลกบวกกับความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติมาบดบังพระวาจาไว้จึงไม่เกิดผล ส่วนบางคนเป็นดินดีฟังพระวาจาและเข้าใจจึงเกิดผลร้อยเท่าบ้างหกสิบเท่าบ้างสามสิบเท่าบ้าง” (มธ13:3-9,18-23)
พี่น้องฟังแล้วก็คงคิดเหมือนๆกันว่าตัวเรานั้นต้องเป็นดินดีแน่นอนและส่วนใหญ่ก็คงคิดว่าเกิดผลร้อยเท่าอีกด้วย!
แต่วิถีดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเช่นมาวัดทุกอาทิตย์แก้บาปรับศีลสม่ำเสมอถือตามบัญญัติของพระเจ้าและของพระศาสนจักรอย่างเคร่งครัดอดเนื้อทุกวันศุกร์แถมยังสวดภาวนาทุกเช้าค่ำอีกด้วยอย่างนี้พี่น้องคิดว่ามากพอแล้วเกิดผลร้อยเท่าแล้วหรือ?
ครั้งหนึ่งขณะพระเยซูเจ้ากำลังเดินทางมุ่งหน้าสู่กรุงเยรูซาเล็มพระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนว่า“จงพยายามเข้าทางประตูแคบเพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไปแต่จะเข้าไม่ได้ เมื่อเจ้าของบ้านจะลุกขึ้นเพื่อปิดประตูท่านจะยืนอยู่ข้างนอกเคาะประตูพูดว่า‘พระเจ้าข้าเปิดประตูให้พวกเราด้วย’ แต่เขาจะตอบว่า‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใด’ แล้วท่านก็จะพูดว่า‘พวกเราได้กินได้ดื่มอยู่กับท่านท่านได้สอนในลานสาธารณะของเรา’ แต่เจ้าของบ้านจะตอบว่า‘เราไม่รู้ว่าพวกเจ้ามาจากที่ใดไปให้พ้นจากเราเถิดเจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า’” (ลก13:24-27)
นี่ขนาดได้กินได้ดื่มอยู่กับพระเยซูเจ้าคือได้รับพระกายและพระโลหิตของพระองค์ในศีลมหาสนิทได้ฟังพระองค์เทศน์สอนผ่านทางพระสงฆ์บนธรรมาสน์ในวัดพระองค์ยังตรัสไล่อย่างรุนแรงว่า“ไปให้พ้นจากเราเถิดเจ้าทั้งหลายที่กระทำการชั่วช้า”
แปลว่าหากยังดำเนินชีวิตตามวิถีทางแบบเดิมๆอย่างในปัจจุบันอย่าว่าแต่จะเป็นดินดีเกิดผลน้อยนิดแค่สามสิบเท่าเลยยังไม่แน่ด้วยซ้ำไปว่าจะถูกพระองค์ขับไล่ไม่ให้เข้าพระอาณาจักรสวรรค์หรือไม่!
พี่น้องคงนึกค้านในใจ“ฉันไม่ได้ฆ่าแกงใครฉันไม่ได้ทำบาปอะไรฉันไม่ได้ทำอะไรผิดทำไมฉันจะเข้าสวรรค์ไม่ได้?” ใช่พี่น้องอาจไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ขอให้พี่น้องนึกถึงอุปมาเรื่องเศรษฐีกับลาซารัสให้ดีเศรษฐีผู้นั้นไม่ได้ประกอบกรรมทำชั่วอะไรเลยเขาไม่ได้รังแกหรือขับไล่ลาซารัสออกจากบ้านเขาไม่ได้ทำอะไรผิดต่อลาซารัสแต่เขา“ผิดที่ไม่ได้ทำอะไรให้ลาซารัส” เขาไม่สนใจลาซารัสที่นอนซมช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เขาไม่สนใจมนุษย์หน้าไหนทั้งนั้นและนี่คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงต้องทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสในเปลวไฟหลังจากตายไปแล้ว (ลก16:19-31) เพราะฉะนั้นแม้พี่น้องจะมั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิดต่อใครก็ตามแต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าพี่น้องผิดแน่นอนที่ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเลย!แล้วพระองค์ทรงประสงค์ให้เราทำอะไรเล่า?!
เห็นได้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้เราเป็นเกลือดองแผ่นดินเป็นแสงสว่างส่องโลกให้แสงสว่างของเราส่องแสงต่อหน้ามวลมนุษย์เพื่อนำมนุษย์มาหาพระบิดาเจ้าเพราะฉะนั้นเราจะเอาแต่ไปวัดไปวาแก้บาปรับศีลแล้วสนใจเฉพาะตัวเราและครอบครัวของเราเท่านั้นไม่ได้พระองค์ตรัสย้ำบ่อยๆว่า“ถ้าผู้ใดติดตามเราโดยไม่รักเรามากกว่าบิดามารดาภรรยาบุตรพี่น้องชายหญิงและแม้กระทั่งชีวิตของตนเองผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้ ผู้ใดไม่แบกกางเขนของตนและติดตามเราผู้นั้นเป็นศิษย์ของเราไม่ได้เช่นเดียวกัน… ดังนั้นทุกท่านที่ไม่ยอมสละทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ก็เป็นศิษย์ของเราไม่ได้”(ลก14:25-33; มธ10:37-39)บางคนอาจแย้งว่าหน้าที่นำพาผู้คนมาหาพระเจ้าหรือการประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นหน้าที่ของบรรดาพระสังฆราชพระสงฆ์และนักบวชชายหญิงแต่นี่เป็นความเข้าใจผิดเพราะพระเยซูเจ้าตรัสกับชาวบ้านธรรมดาๆผู้หนึ่งซึ่งปรารถนาจะติดตามพระองค์แต่ขออนุญาตไปฝังศพบิดาของเขาเสียก่อนว่า“จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิดส่วนท่านจงไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า”(ลก9:60)แปลว่าหน้าที่ประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นหน้าที่ของเราคริสตชนทุกคนแม้เราจะไม่ได้เป็นพระสังฆราชไม่ได้เป็นพระสงฆ์หรือไม่ได้เป็นนักบวชก็ตาม!
(ต่อฉบับหน้า)