วิถีชุมชนวัด…หนทางใหม่ของการเป็นคริสตชน 2 (ต่อ)
โดยคุณพ่อยวงชัยยะกิจสวัสดิ์
หนังสือกิจการอัครสาวกเล่าว่าบรรดาคริสตชนยุคเริ่มแรกได้ทำหน้าที่ที่พระเยซูเจ้ามอบหมายให้นั่นคือประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างเข้มข้นจริงๆ“กลุ่มผู้มีความเชื่อดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน… ประชุมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อฟังคำสั่งสอนของบรรดาอัครสาวกดำเนินชีวิตร่วมกันฉันพี่น้องร่วมพิธีบิขนมปังและอธิษฐานภาวนา…ทุกๆวันเขาพร้อมใจกันไปที่พระวิหารและไปตามบ้านเพื่อทำพิธีบิขนมปังร่วมกินอาหารด้วยความยินดีและเข้าใจกันสรรเสริญพระเจ้าและได้รับความนิยมจากประชาชนทุกคนองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้จำนวนผู้ที่ได้รับความรอดพ้นเพิ่มขึ้นทุกวัน… ในกลุ่มของเขาไม่มีใครขัดสน ผู้ใดมีที่ดินหรือบ้านก็ขายและมอบเงินที่ได้ให้บรรดาอัครสาวกเพื่อแจกจ่ายให้ผู้มีความเชื่อแต่ละคนตามความต้องการ”(กจ4:32; 2:42,46-47; 4:34-35)
ผลพวงที่ได้นอกจากจำนวนผู้ที่ได้รับความรอดพ้นจะเพิ่มขึ้นและพระอาณาจักรของพระเจ้าจะเติบโตขึ้นทุกวันแล้ว บรรดาคริสตชนยุคเริ่มแรกยังมีความสุขที่ได้ดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันแบ่งปันกันเป็นดังครอบครัวใหญ่เดียวกัน อีกทั้งยังทำให้ความเชื่อของพวกเขาเข้มแข็งมั่นคงสามารถสู้ทนกับการเบียดเบียนต่างๆนานาอย่างกล้าหาญถึงขั้นหลั่งเลือดและพลีชีพก็มากมาย
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นและเป็นจริงได้ก็เพราะคำสอนและแบบอย่างของพระเยซูเจ้าเองพระองค์ตรัสว่า“เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลายให้ท่านรักกันเรารักท่านทั้งหลายอย่างไรท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด ถ้าท่านมีความรักต่อกันทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา”(ยน13:34-35)
นี่เป็นบัญญัติใหม่เป็นคำสอนใหม่ที่เรียกร้องการดำเนินชีวิตแบบใหม่และหนึ่งในวิถีทางดำเนินชีวิตแบบใหม่นี้ก็คือ“วิถีชุมชนวัด”!
วิถีชุมชนวัดก็คือการนำวัดไปสู่ชุมชนหรือการทำให้ชุมชนในละแวกบ้านที่เราอาศัยอยู่กลายเป็นวัดเป็นพระอาณาจักรของพระเจ้า
จากนี้ไปวิถีทางใหม่ของการเป็นวัดก็คือวัดจะประกอบด้วยชุมชนคริสตชนย่อยที่มีพระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนมชีพประทับอยู่ท่ามกลางเราตรัสกับเราทำให้เรามีจิตใจสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันรักกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นดังเกลือดองแผ่นดินและเป็นแสงสว่างส่องผู้คนในละแวกบ้านไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตามอย่าลืมนะครับว่าความสัมพันธ์ใหม่นี้เข้มข้นกว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดเสียอีก ครั้งหนึ่งมีผู้มาทูลพระเยซูเจ้าว่า“มารดาและพี่น้องของท่านกำลังเสาะหาท่านคอยอยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามผู้ที่มาทูลนั้นว่า“ใครเป็นมารดาใครเป็นพี่น้องของเรา”พร้อมกับยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ตรัสว่า“นี่คือมารดาและพี่น้องของเราเพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา” (มธ12:46-50) เพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่น้องจะได้พบและได้สัมผัสอย่างแน่นอนในชุมชนคริสตชนย่อยๆเหล่านี้ก็คือความรักและสันติสุขอย่างแท้จริง ลองคิดดูสิว่าจะเป็นสุขสักแค่ไหนหากเราสามารถฝากพี่น้องเพื่อนบ้านให้ดูแลบ้านดูแลผู้สูงอายุดูแลเด็กดูแลสัตว์เลี้ยงและทรัพย์สินแทนกันได้อย่างสนิทใจหรือฝากเพื่อนบ้านให้รับส่งลูกไปโรงเรียนแทนกันได้อาศัยรถไปทำงานกันได้ฝากกันซื้อข้าวของเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆได้ช่วยกันทำให้สภาพแวดล้อมในละแวกบ้านปลอดภัยและดีขึ้นได้
มิใช่แต่เพียงเท่านี้หากเราดำเนินชีวิตในชุมชนคริสตชนย่อยร่วมกันด้วยความรักโดยมีพระเยซูเจ้าและพระวาจาของพระองค์เป็นศูนย์กลางดังนี้พระองค์ยังรับรองความสุขเหนือชั้นขึ้นไปอีกดังที่ได้ตรัสกับสตรีผู้หนึ่งซึ่งร้องขึ้นในหมู่ประชาชนว่า“หญิงที่ให้กำเนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า“คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก”(ลก11:27-28)
…พี่น้องครับพระเยซูเจ้าตรัสว่า“ไม่มีใครฉีกผ้าจากเสื้อใหม่ไปปะเสื้อเก่าเพราะเสื้อใหม่จะขาดและผ้าจากเสื้อใหม่จะไม่เข้ากับเสื้อเก่าอีกด้วย ไม่มีใครใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังเก่าเพราะเหล้าใหม่จะทำให้ถุงหนังขาดเหล้าจะรั่วและถุงหนังก็จะเสียแต่ต้องใส่เหล้าใหม่ลงในถุงหนังใหม่ ไม่มีใครที่ดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้วอยากดื่มเหล้าใหม่เพราะเขาย่อมกล่าวว่า ‘เหล้าเก่านั้นดีกว่า’”(ลก5:36-39)
หากพี่น้องท่านใดพร้อมที่จะละทิ้งเสื้อเก่าหรือวิถีดำเนินชีวิตแบบเก่ามาใส่เสื้อใหม่มาลองดื่มเหล้าองุ่นใหม่มาดำเนินชีวิตคริสตชนแบบใหม่ที่เรียกว่า“วิถีชุมชนวัด”และสนใจจะเข้าร่วมใน“ชุมชนคริสตชนย่อย”โปรดสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ทีมงานอภิบาลของแต่ละวัด(ถ้ามี)หรือจะติดต่อโดยตรงกับพระสงฆ์ในเขตก็ได้
“ขอพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”(อฟ1:2)