บทเรียนจากกิ่งไม้
เมื่อวันอาทิตย์สัปดาห์ที่แล้ว ขณะประกาศเชิญชวนสัตบุรุษให้มาช่วยกันทำใบลาน ก็ประกาศด้วยความรู้สึกขัดๆ เพราะเป็นความรู้สึก ที่ขัดกับสิ่งที่จะเขียนลงสารวัดในครั้งนี้
วันอาทิตย์นี้เป็นวันอาทิตย์ใบลาน รำลึกถึงการเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซูเจ้า เพื่อมุ่งไปสู่ ไม้กางเขนของพระองค์
ประชาชนต่างออกมาต้อนรับพระองค์ และเพื่อเป็นการแสดงการต้อนรับพระเยซูเจ้า พระวรสารวันนี้ได้บรรยายวิธีการต้อนรับของประชาชน พวกเขารีบมาในจุดที่ พวกเขารู้ว่าพระองค์จะเสด็จผ่าน และเพื่อเป็นการให้เกียรติ พวกเขาก็เอา “เสื้อคลุมของตนปูลงบนทางเดิน บางคนตัดกิ่งไม้มาวางตามทางเดิน” เมื่อพระเยซูเจ้าผ่านมาพระองค์ก็เสด็จเหยียบย่ำไปบน ทั้งเสื้อคลุม และกิ่งไม้
ดังนั้นตามพระวรสาร กิ่งไม้ที่ถูกตัดมาวางต้อนรับนั้นจึง ไม่ได้ถูกถือในมือหรือโบกไปโบกมาแต่ถูกวางลงบนทางเดิน นอกนั้นพระวรสารก็มิได้ระบุว่าเป็นใบปาล์ม พูดแต่เพียงว่าเป็น กิ่งไม้
ในความรีบร้อนเช่นนี้ กิ่งไม้เหล่านั้นก็แค่ถูกตัดและนำเอามาวางไว้บนทางเดิน เท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
ประวัติศาสตร์อันยาวนาน ทำให้กิ่งไม้ธรรมดาๆ ในพระวรสารกลายเป็นกิ่งปาล์ม หรือ สำหรับประเทศไทย ก็กลายเป็นใบลาน ในช่วงนี้ต้นจากทั่วประเทศ คงจะถูกตัดเพื่อเอาใบมาใช้ในวันอาทิตย์นี้จำนวนมหาศาล แต่ที่ร้ายกว่านั้น ใบลานเหล่านั้นถูกประดิดประดอยจักสานแต่งให้เป็นรูปต่างๆ เพื่อให้ดูงดงามแปลกตาเป็นการอวดฝีมือ มิหนำซ้ำยังมีการแข่งขันกันประดิดประดอย ว่าใครจะทำได้สวยกว่ากัน
ข้อคิดจากกิ่งไม้ ซึ่งเป็นหัวข้อของบทสนทนาจากเจ้าอาวาสในวันนี้ก็คือ
ในสมัยพระเยซูเจ้ากิ่งไม้เหล่านั้นถูกตัดและแค่นำมาวางไว้บนทางเดิน โดยไม่มีการประดิดประดอย เพราะถ้าต้องนำไปประดิษฐ์ ก็จะไม่ทันการเพราะพระเยซูเจ้าคงจะเสด็จผ่านไปเสียก่อน
ถ้าจะเปรียบกิ่งไม้ที่ใช้ต้อนรับพระเยซูเจ้ากับชีวิตของเรา ที่จะต้องต้อนรับพระเยซูเจ้า ก็เช่นเดียวกัน ต้องต้อนรับพระเยซูเจ้าด้วยชีวิตที่เร่งรีบไม่ชักช้าแต่ต้องเรียบง่าย และชีวิตที่เรียบง่าย ก็คือชีวิตที่ไม่มีการประดิดประดอย
กิ่งไม้ที่ถูกตัดอย่างรีบเร่งและวางบนทางเดินสอนเราให้รู้จัก การดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย ทั้งภายในและภายนอก แต่สำหรับคนปัจจุบัน ชีวิตต้องมีองค์ประกอบและตัวองค์ประกอบนั้นบางครั้งมากจนเว่อร์ กลายเป็นความน่าเกลียด และอะไรที่ถูกแต่งแต้มเกินความเป็นจริง แทนที่จะดูสวยกลับกลาย เป็นดูน่าเกลียด และสิ่งที่เกินความเป็นจริงมากๆ จนดูเว่อร์ คนไทยเรียกว่า ดัดจริต
พระเยซูเจ้าทรงสอนให้รู้จักการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ที่ขอบบ่อน้ำยากอบ ในการสนทนายาวๆ กับหญิงชาวสะมาเรีย พระองค์ก็ทรงสอน ให้ดำเนินชีวิตในความเป็นจริง สอนให้นมัสการพระเจ้าในความเป็นจริง “ผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้า เดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง”
“นมัสการพระบิดาเจ้า เดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง”คือ ฟังสิ่งที่พระจิตเจ้าบอกกับเราจากภายใน และสิ่งที่พระจิตเจ้ามักจะบอกแก่เราเสมอๆ ก็คือ เราเป็นคนบาป เรามีความบกพร่อง เราต้องแก้ความบกพร่อง นอกนั้นพระองค์จะทรงบอกเราให้เจริญชีวิตของเราอย่างเรียบง่ายตามคำแนะนำของพระวรสาร อย่าแต่งแต้มอะไรแก่ชีวิตของเราจนเกินเหตุ ณ ตรงนี้ พระวาจาของพระเยซูเจ้า จะดังก้องออกมาในทันที่ว่า “ดังนั้นอย่าห่วงกังวลกับชีวิต” “จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน มันมิได้เก็บเกี่ยว มันมิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ก็ทรงเลี้ยงดูมัน” (มัทธิว 6:26) “ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม จงดูดอกไม้ในทุ่งนามันเจริญงอกงามขึ้น (ตามธรรมชาติ)…มันไม่ได้ปั่นด้าย (ไม่แต่งองค์ทรงเครื่อง)…แต่กษัตริย์ซาโลมอน เมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหราแล้ว ก็ยังไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง (ที่อยู่อย่างธรรมชาติ โดยมีพระเลี้ยงดูมัน)” (มัทธิว 6:28-29)
ชีวิตที่รุงรัง ต้องมีโน่นมีนี่ จะกลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความกังวลห่วงใย อีกทั้งเป็นความกังวลฝ่ายโลก และเวลาที่เรากังวลเรื่องทางโลกมากๆ เราก็จะไม่มีเวลาให้พระ ประชาชนเหล่านั้น ถ้ามัวเสียเวลาเอากิ่งไม้ที่ตัดจากต้น ไปแต่งไปดัด ไปล้างให้ดูสวยงาม ก็จะไม่ทันการ พระเยซูเจ้าคงจะเสด็จผ่านเลยพวกเขาไปเสียก่อน
ดังนั้นเราต้องฟังพระเยซูเจ้า “อย่ากังวลถึงชีวิต(ภายนอก) มากนัก” แต่ “จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน” คือพระเยซูเจ้าสอนให้เราเรียนรู้พระวาจา และนำเอาพระวาจาไปปฏิบัติ ให้ทำสิ่งนี้ก่อนสิ่งอื่นใด จากนั้นพระองค์ได้สอนเสริมว่า “ส่วนสิ่งอื่นๆ (ความจำเป็นของการดำเนินชีวิตฝ่ายร่างกาย) พระองค์จะทรงเพิ่มพูนให้”
พระวาจาและคำสอนแต่ละข้อของพระเยซูเจ้าสอนให้รู้จัก ปล่อยวาง ละวาง สรรพสิ่งในโลกเราต้องไม่ยึดเกาะอยู่กับมัน แม้กระทั้งชีวิตของตัวเราเอง พระองค์ให้ “คำแนะนำจากพระวรสาร” ที่สอนเรื่องความว่างเปล่า ซึ่งพระเยซูไม่เพียงแค่สอนแต่ทรงทำให้เราดูเป็นตัวอย่างตลอดชีวิต และเราจะไม่เดินตามพระองค์บ้างหรือ?