สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์
หนังสือหนทางสวรรค์ เล่ม 1
ในหนังสือกิจการอัครสาวกมีกล่าวถึงการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าดังนี้ สี่สิบวันหลังจากที่พระองค์กลับคืนชีพ พระเยซูเจ้าทรงนำบรรดาอัครธรรมทูตไปยังภูเขามะกอก พระองค์ทรงชูพระหัตถ์อวยพรเขา ขณะที่พระองค์ทรงอวยพรเขาอยู่ พระเจ้าได้ทรงรับพระองค์ขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาและมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขา เมื่อเขากำลังเขม้นดูฟ้า เวลาที่พระองค์เสด็จขึ้นไปนั้น มีสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา สองคนนั้นกล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุไฉนท่านจึงเขม้นดูฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ซึ่งลับจากท่านขึ้นไปบนสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกเหมือนอย่างที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” อัครสาวกจึงลงจากภูเขามะกอกกลับไปเยรูซาเล็มด้วยความปีติยินดี (กจ.1,3-11)
ในหนังสือกิจการอัครสาวกมีเล่าถึงการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า สี่สิบวันหลังจากการกลับคืนชีพของพระองค์ บรรดาอัครธรรมทูตได้เห็นพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์และในที่สุดมีเมฆคลุมพระองค์ให้พ้นสายตาของเขาให้ความเข้าใจของชาวฮีบรู เมฆเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้า เมฆคลุมที่ไหนแสดงว่าพระเจ้าสถิตอยู่ที่นั้น ฉะนั้นในกรณีที่เมฆคลุมพระเยซูเจ้าให้พ้นสายตาของบรรดาอัครสาวกจึงมีความหมายว่า สี่สิบวันหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพ พระองค์ก็เสด็จกลับไปอยู่กับพระบิดาเจ้า และดำรงชีพกับพระองค์ชั่วกาลนาน พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ด้วยพระวรกายรุ่งโรจน์เพื่อรับเกียรติมงคล เพราะพระองค์มีชัยยิ่งใหญ่เหนือบาปและความตาย
ในบท “ข้าพเจ้าเชื่อ” ที่เราภาวนาในระหว่างพิธีมหาบูชามิสซาวันอาทิตย์มีตอนหนึ่งที่ว่า พระเยซูเจ้าประทับเบื้องขวาพระบิดา ความจริงพระบิดาเจ้าทรงเป็นจิตล้วน ไม่มีบัลลังก์ที่เป็นวัตถุ ฉะนั้นจึงไม่มีเบื้องซ้ายเบื้องขวาแน่ การที่เรากล่าวว่า พระเยซูเจ้าประทับเบื้องขวาพระบิดานั้น จึงเป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เราเข้าใจว่า พระเยซูเจ้าในฐานะที่เป็นมนุษย์ได้รับเกียรติสูงสุดจากพระบิดา เพราะตามธรรมเนียมของชาวฮีบรูโบราณ ถือกันว่าผู้ที่นั่งอยู่เบื้องขวาของผู้เป็นใหญ่ เป็นผู้ที่ได้รับเกียรติมากกว่าทุกคน พระเยซูเจ้าทรงได้รับมอบอำนาจทุกประการจากพระบิดาเจ้า พระองค์ทรงสามารถช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอด รวบรวมให้เป็นครอบครัวเดียวกันในพระศาสนจักร และส่งพระจิตมาช่วยเหลือประชากร
เมื่อพระองค์เสด็จสู่สวรรค์พระองค์มิได้ละทิ้งเรา พระองค์ทรงอยู่กับเรา แต่อยู่ในลักษณะที่ต่างกับสมัยดำรงชีพที่ประเทศปาเลสไตน์ สมัยนั้นพระองค์มีร่างกายเหมือนเรา ซึ่งถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ พระองค์ทรงดำรงชีพแบบดังกล่าวเพียงแค่ 33 ปีเท่านั้นแต่หลังจากที่พระองค์ทรงกลับคืนชีพแล้ว พระวรกายของพระองค์มีลักษณะพิเศษ เป็นพระวรกายที่รุ่งโรจน์และไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่
พระเยซูเจ้าสถิตอยู่กับเราหลายทาง เช่นทางพระศาสนจักร ทางศีลมหาสนิท และศีลศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ เมื่อคริสตชนร่วมชุมนุมภาวนาหรือเมื่อมีการประกาศพระวาจาของพระเจ้า พระองค์ก็สถิตอยู่ท่ามกลางเรา นอกนั้นพระองค์ยังสถิตอยู่กับเราในตัวพระสังฆราชและพระสงฆ์ ในตัวคนยากจน และในตัวมนุษย์ทุกคน