สมโภชพระพระวรกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า
ในสังคมที่มีความเป็นอยู่อย่างสะดวกสบาย อาหารหลักเช่น ข้าวและน้ำไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่สำหรับประชาชนอีกเป็นจำนวนมากในโลก สิ่งเหล่านี้ยังเป็นปัญหาอยู่ ดังนั้น พวกเขาสามารถเข้าใจได้ดีกว่าเราว่า นี่เป็นเครื่องหมายของความรักและการเอาใจใส่อย่างแท้จริง เมื่อพระเจ้าทรงเข้ามาเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ สำหรับพวกเขา น้ำและข้าวเป็นเรื่องของความเป็นความตาย บ่อยครั้งเราที่เจริญแล้วในความสะดวกสบายหิวกระหายค่านิยมอื่น ๆ มากกว่าการดำรงอยู่ของชีวิตฝ่ายกาย ในสังคมที่ทำลายความสำคัญของบุคคล เราต้องทนทุกข์เนื่องมาจากการขาดบุคคลในที่ที่ไม่ควรขาด เราหิวกระหายมิตรภาพ ความรัก ความอาทร ความกรุณา ความเคารพซึ่งไม่เคยเป็นปัญหาในครอบครัวใหญ่ของผู้คนในสมัยก่อน แล้วอะไรเป็นความต้องการที่ใหญ่กว่ากัน?
ในที่ที่เราต้องการทรมานอยู่กับการขาดบุคคล พระเยซูเจ้าประสงค์ที่จะประทับอยู่กับเราด้วยความอาทร และความรักของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน ในเครื่องหมายของอาหารประจำวันที่แสนธรรมดาสำหรับชาวตะวันออก คือ น้ำ ขนมปังและเหล้าองุ่น พระเยซูเจ้าทรงบ่งบอกความหมายของการประทับอยู่ของพระองค์กับเรา พระองค์ต้องการแบ่งปันชีวิต ต้องการเสริมกำลัง ต้องการที่จะมีความหมายอะไรบางอย่างสำหรับเรา
เมื่อเราฉลองศีลแห่งการบูชาขอบพระคุณ เราฉลองธรรมล้ำลึกแห่งการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้านี้ร่วมกับหมู่คณะ จงเปิดตัวเองออกเพื่อทำให้ “ความชิดสนิท” เป็นไปได้ “พระเยซูเจ้าตรัสว่า ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นอยู่ในเรา และเราก็อยู่ในผู้นั้น”
นักบุญโธมัส อากวีนัสได้กล่าวถึงงานเลี้ยงประเสริฐและน่าอัศจรรย์ ของวันสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้าไว้ว่า โดยเหตุที่เป็นน้ำพระทัยของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าที่จะให้มนุษย์มีส่วนร่วมในพระเทวภาพของพระองค์ พระองค์ทรงรับเอาธรรมชาติของเราเพื่อว่าการเป็นมนุษย์ของพระองค์ จะสามารถทำให้เรามนุษย์สูงส่งด้วยชีวิตพระ เมื่อพระองค์ทรงรับเอาเนื้อหนังของเรา พระองค์ทรงอุทิศสภาพทั้งครบของพระองค์ เพื่อความรอดของเรา พระองค์ทรงถวายพระกายของพระองค์แด่พระบิดาบนพระแท่นแห่งกางเขน เพื่อเป็นเครื่องบูชาชดเชยบาปของเรา พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิตเพื่อไถ่เรา ให้พ้นจากพันธะอันน่าสมเพชและทรงชำระเราให้บริสุทธิ์จากบาป แต่เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรัก ซึ่งพระองค์ทรงมีต่อเราตลอดกาล พระองค์ได้ประทานพระกายเป็นอาหาร และพระโลหิตเป็นเครื่องดื่ม ในรูปของขนมปังและเหล้าองุ่น เพื่อผู้ที่มีความเชื่อจะได้บริโภค
งานเลี้ยงประเสริฐและน่าอัศจรรย์ ซึ่งนำความรอดมาสู่เรา และเปี่ยมด้วยความหวานชื่น จะมีอะไรมีค่ามากกว่านี้อีกหรือ? ในพันธสัญญาเดิมชาวอิสราเอลถวายเนื้อลูกวัวและแพะเป็นเครื่องบูชา แต่ในที่นี้ พระคริสตเจ้าเององค์พระเจ้าแท้ได้ถูกตั้งไว้ต่อหน้าเราเพื่อเป็นอาหารสำหรับเรา จะมีสิ่งใดน่าพิศวงยิ่งไปกว่านี้อีกหรือ? ไม่มีศีลศักดิ์สิทธิ์ใดมีฤทธิ์บำบัดรักษายิ่งใหญ่เช่นนี้ โดยทางศีลนี้ บาปถูกขจัดไปสิ้น คุณธรรมทวีขึ้น และวิญญาณก็มั่งคั่งด้วย พระคุณฝ่ายจิตทุกประการ ในพระศาสนจักรมีการถวายบูชาอุทิศแด่ผู้มีชีวิตและผู้ล่วงลับ เพื่อสิ่งที่ทรงตั้งไว้เพื่อความรอดของทุกคน จะได้เป็นประโยชน์แก่ทุกคน ถึงกระนั้นก็ดีไม่มีใครสามารถเผยความหวานชื่นของศีลนี้ได้อย่างครบถ้วนได้ ในศีลนี้วิญญาณได้ดื่มด่ำและลิ้มรสจากแหล่งกำเนิด ในศีลนี้เรารื้อฟื้นอนุสรณ์แห่งความรัก ซึ่งพระคริสตเจ้าทรงเผยแสดงในพระทรมานของพระองค์
เพื่อประทับความรักอันหาขอบเขตมิได้นี้ ในดวงใจของผู้ที่มีความเชื่อให้แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้น พระเยซูเจ้าจึงทรงตั้งศีลนี้ ในการเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้าย หลังจากทรงฉลองปัสกากับสานุศิษย์ของพระองค์ ขณะที่พระองค์กำลังจะทรงละจากโลกนี้ ไปหาพระบิดา ทรงมอบศีลนี้ไว้เป็นอนุสรณ์แห่งพระทรมานของพระองค์ เป็นการทำให้รูปแบบในโบราณกาลสำเร็จไป และเป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่กว่าอัศจรรย์ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงกระทำ ซึ่งพระองค์ทรงมอบไว้เป็นบรรเทาสำหรับผู้ที่ทุกข์เศร้าในการจากไปของพระองค์ (นักบุญโธมัส อากวีนัส)