อาการแคระแกรนและตายซากของพระวาจา
อุปมาอุปมัย หรือ นิทานเปรียบเทียบของพระเยซูเจ้าแต่ละเรื่อง แต่ละบท ถูกนำมาจากวิถีธรรมชาติ ที่ชาวบ้านธรรมดาๆรู้จักและคุ้นเคย หรือไม่ก็ สิ่งที่พระเยซูเจ้าพูดกล่าวถึง หรือ เทศน์สอน ก็ถูกนำมาจากชีวิตประจำวันที่พระองค์ทรงสังเกตเห็น
ดังนั้นการเทศน์สอนของพระเยซูเจ้า จึงเป็นคำสอนที่ธรรมดา ติดดิน และเข้าใจง่าย จึงเป็นตัวอย่างของผู้ที่ต้องทำหน้าที่สอนว่า เวลาจะสอนอะไร ก็อย่าให้มันอยู่บนฟ้า หรือ เข้าใจยาก และควรหลีกเลี่ยง วาทะศิลป์อันหรูหราอลังการ
ทั้งบทอ่านที่ 1 และพระวรสารในวันนี้พูดถึง พระวาจาของพระเป็นเจ้า ที่ถูกเปรียบเทียบว่าเหมือน หรือ คล้ายกับเมล็ดพันธุ์พืช ที่ถูกหว่านลงบนดิน และจากนั้นก็รอวันรอคืนที่จะงอกเงยเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ที่เมล็ดพืชนั้นๆต้องเผชิญ
สภาพแวดล้อมคือ ตัวกำหนดของการเจริญงอกงาม หรือ การแคระแกรน หรือแม้แต่ การถูกทำลายโดยศัตรู
พระวาจาของพระเจ้า คือ เมล็ดพืชที่ถูกหว่าน
ประการแรกที่เราจะต้องไม่ลืมก็คือ พระวาจาดังกล่าวมีพลังอำนาจอยู่ในตัวของพระวาจาเอง เพราะเป็นพระวาจาของพระเจ้า พระวาจา คือ เมล็ดพันธุ์ดี ดังนั้นถ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมพระวาจานั้นจะเจริญงอกงามเป็นร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง และสามสิบเท่าบ้าง
ส่วนสภาพแวดล้อมที่รองรับพระวาจานั้น ก็คือ ชีวิตของพวกเราแต่ละคน ฝนและหิมะที่ถูกกล่าวถึงไว้ในบทอ่านที่ 1 ก็คือ ความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าจากเบื้องบน
หันกลับไปดูสภาพแวดล้อม ในพระวรสารประจำวันนี้ เราจะเห็นว่าเป็นสภาพแดล้อมที่มีปัญหา ที่ทำให้เมล็ดพันธุ์ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมในพระวรสาร เป็นสภาพแวดล้อมที่มีมลพิษ ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งกับการเจริญเติบโต นกในอากาศที่คอยจิกกิน พื้นหินที่มีดินเล็กน้อย แดดแรงกล้าที่เผาผลาญเมล็ดพืช พงหนามที่คอยงอกคลุมเมล็ดพืช ฯลฯ
พระศาสนจักรในประเทศไทย พยายามปฏิรูปชีวิตของพระศาสนจักร โดยใช้พระวาจาเป็นหลัก อันเป็นการดำเนินตามแนวทางของพระศาสนจักรสากล ที่เริ่มต้นอย่างเข้มข้นตั้งแต่ยุคสมัยของสมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 จนถึงปัจจุบัน โดยมีการเน้นให้อ่าน ให้ศึกษาพระวาจา และในปัจจุบันในกระบวนการวิถีชุมชนวัด (BEC) ก็ยังคงเน้นการใช้พระวาจาในการดำเนินกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิถีชุมชนวัด
แต่สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงก็คือ การปฏิรูปชีวิตคริสตชนแต่ละคนและการปฏิรูปชีวิตพระศาสนจักรในองค์รวม โดยการใช้พระวาจา กำลังเจออุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่ขวางหน้า นั่นคือ สภาพแวดล้อมของยุคปัจจุบัน ที่ประกอบด้วยอุปสรรคสำคัญๆหลายอย่าง ที่พอจะนำมายกเป็นตัวอย่างได้เป็นบางข้อคือ
1. ความนิยม และ ชื่นชอบในโภคทรัพย์ และสรรพวัตถุต่างๆ
2. ความนิยม และ ชื่นชอบในเกียรติยศ ชื่อเสียง ความมีหน้ามีตา และการได้รับการยกย่องนับหน้าถือตาในวงสังคม และ
3. ความนิยม และ ชื่นชอบในการใช้ชีวิตและความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย
ฯลฯ
ทั้ง 3 ความนิยมชื่นชอบ เป็นกระแสที่กำลังไหลบ่าท่วมท้น วิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันรวมทั้งวิถีชีวิตของบรรดาคริสตชนโดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็น
+ ฆราวาสธรรมดา
+ พระสงฆ์ (ผู้ต้องเป็นสักขีพยานอย่างเด่นชัดของชีวิตพระเยซูเจ้าในเรื่องของความยากจน นอบน้อมเชื่อฟัง และ พรหมจรรย์ อันเป็นผลจากศีลบวชที่ตนได้รับ)
+ นักบวชทั้งชายและหญิง (ที่ปฏิญาณต่อหน้าสาธารณชนที่จะถือฤทธิ์กุศล ทั้ง 3 อย่างเด่นชัด)
ความนิยมชื่นชอบใน 3 กระแสดังกล่าว สร้างให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ความต้องการที่ไม่จำเป็น และถ้าความต้องการที่ไม่จำเป็นไม่ได้รับการจำกัด หรือ ดีกว่านั้น กำจัด หรือ ตัดออกไปจากชีวิต ความต้องการที่ไม่จำเป็นเหล่านั้น ก็จะพัฒนาตัวของมันเองกลายเป็น ความต้องการที่ไม่จำเป็นที่ขาดไม่ได้ ไปโดยอัตโนมัติ
ความนิยม 3 อย่างนั้นคือ อุปสรรคใหญ่ของการเจริญเติบโตของพระวาจา และยังสามารถมีส่วนทำให้พระวาจานั้นเกิดอาการแคระแกรน และตายซากไปในที่สุด