“ใจหนึ่งรักพระแต่…อีกใจหนึ่งก็ยังรักตนเองมากกว่า“
“ข้าพเจ้าคิดว่าความทุกข์ทรมานในปัจจุบันเปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริรุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา… เรายังมีความหวังว่าจะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสื่อมสลายเพื่อไปรับอิสรภาพอันรุ่งเรืองของบรรดาบุตรของพระเจ้า…เรามีความกระตือรือร้นรอคอยให้พระเจ้าทรงรับเราเป็นบุตรบุญธรรมให้ร่างกายของเราได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ” (เทียบรม8:18, 21, 23)
หลายครั้งในชีวิต เรามีความตั้งใจดีมีน้ำใจงามพยายามเริ่มต้นพยายามศึกษาหาวิธีหาแนวทางพยายามทำตามความตั้งใจที่มีอยู่… แต่แล้ว โดยไม่รู้ไม่เข้าใจตนเองนัก ที่สุดพบว่าตนเองพ่ายแพ้ตนเองอ่อนแอตนเองไปไม่ถึง.
ไม่เข้าใจกับชีวิตไม่เข้าใจกับตนเองไม่เข้าใจกับธรรมชาติความจริง รับรู้เบื้องต้นอยู่ว่า…”เราพ่ายแพ้กับบาปกับความอ่อนแอตามประสามนุษย์” นี่คือธรรมชาติความจริงที่เกิดขึ้นกับเราทุกคนจนเถียงไม่ขึ้นเถียงไม่ออก.
“พระองค์ตรัสว่า“จงฟังเถิดชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช…เมล็ดที่ตกบนหินคือผู้ฟังพระวาจาและมีความยินดีรับไว้ทันทีแต่เขาไม่มีรากในตัวจึงไม่มั่นคงเมื่อเผชิญความยากลำบากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานั้นเขาก็ยอมแพ้ทันทีเมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาแต่ความวุ่นวายในทางโลกความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติเข้ามาบดบังพระวาจาไว้จึงไม่เกิดผล” (มธ13:3,20-22)
พระวาจาผ่านเข้ามา ความรักพระเมตตาผ่านมาถึง เราชื่นใจดีใจยินดีรับ แต่เราก็ปล่อยวางละทิ้งพระองค์ไว้ข้างหลังข้างทาง…ด้วยเรารักแต่ตัวเราเอง ลองทบทวนดู
หนึ่ง…จริงหรือไม่ ที่เราขาดความตอเนื่องสม่ำเสมอที่จะอ่านที่จะฟังแล้วยอมวางตนเองตามคำแนะนำยอมตัดสละละน้ำใจตนเองลุกขึ้นออกจากตนเองมอบ-แบ่งปันชีวิตของตนออกไปตามคำแนะนำ-คำเรียกร้องจากพระวรสาร
สอง..จริงเพียงใด ที่เรามีหลายสิ่งหลายเรื่องที่ดึงตัวเราให้ทิ้งให้ออกห่างจากพระจากเพื่อนพี่น้องเป็นพิเศษลุกหนีห่างจากพี่น้องที่กำลังทนทุกข์เจ็บปวดและกำลังขาดแคลน ที่สำคัญที่สุดคือเรายอมละและทิ้งเพื่อนพี่น้องที่กำลังขาดแคลนและเจ็บปวดเพื่อหันมารักตัวเองทั้งๆตัวเรานั้นที่มีหลายสิ่งเพียงพอกับชีวิตอยู่แล้ว.