ความรักที่พร้อมจะปล่อยว่างและให้อภัย
“พระองค์ทรงปกครองข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยพระทัยปราณี…เพื่อสอนให้ผู้ชอบธรรมต้องรักเพื่อนพี่น้อง” (ปชญ12:18-19)
มีพระสงฆ์อาวุโสท่านหนึ่งเคยแนะนำคำสอนที่ฟังดูอ่อนโยนมากไว้ว่า “จงเป็นคนที่เคร่งครัดกับตนเอง แต่เป็นคนที่อ่อนโยนผ่อนปรนและใจกว้างแก่พี่น้องคนอื่น” แล้วท่านจะเป็นที่รักของเพื่อนพี่น้องและเป็นที่พอพระทัยของพระเป็นเจ้า
พระเป็นเจ้าทรงพระทัยดีมีเมตตาต่อเรา พระองค์หวังให้เราส่งต่อความรักความเมตตาต่อผู้อื่นส่งทอดต่อกันไป เราที่เป็นลูกของพระบิดาเป็นผู้ชอบธรรมที่องค์พระเยซูพระผู้ไถ่ได้กอบกู้เราคืนมาด้วยพระโลหิตของพระองค์ เราจึงเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้าพระเป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ผู้ชอบธรรมอันเป็นที่รักของพระเป็นเจ้าจึงจำเป็นต้องแสดงออกถึงความรักเมตตาที่อยู่ภายในชีวิตออกมาให้เป็น“ผู้ใจกว้างและผ่อนปรนต่อเพื่อนพี่น้อง”
“อย่าเลยเกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมานท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วยจงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวให้เก็บข้าวละมานก่อนมัดเป็นฟ่อนเผาไฟเสียส่วนข้าวสาลีนั้นจงเก็บเข้ายุ้งของฉัน”(มธ13:29-30)
หลายคนจมอยู่กับความเจ็บปวดในใจในมโนธรรมของตน เป็นไปได้ที่เรา“มโน” (ตามคำศัพท์ที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน) เราไม่สามารถปล่อยวางรับความจริงและสร้างแรงกดดันให้กับตัวเราเองที่จะไม่ยอมปล่อยวางไม่ยอมให้อภัยแก่กันและกัน ยิ่งพบหน้าก็ยิ่งเครียดยิ่งโมโหยิ่งเจ็บปวด
ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรามนุษย์ที่จะให้แก่กันและกันได้นั่นก็คือ“ความรักที่พร้อมจะปล่อยวางและให้อภัยให้แก่กัน” ยิ่งเราปล่อยวางยิ่งเราให้อภัยได้ สนิมที่เกาะกินมโนธรรมและจิตใจของเราก็จะถูกกะเทาะออก เรายิ่งปลดล๊อคและมีความสุขใจได้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น