อิทธิฤทธิ์ของพระวาจา
“ลักษณะท่าทีของพระเยซูเจ้าที่สงสารคนป่วย คนหิวกระหาย คนที่มองพระองค์ด้วยสายตาของความหวังบวกกับความเชื่อมั่นที่พระองค์มีต่อพระบิดาเจ้านั่นเองคือ สิ่งที่ละลายจิตใจของทุกคนที่มาหาพระองค์ในที่เปลี่ยวนั้น เมื่อพระองค์เอาขนมปังเพียงเล็กน้อยที่มีขึ้นมาขอบพระคุณพระแล้วบิแบ่งให้คนรอบข้าง คนอื่นๆ ก็ทำเช่นเดียวกัน คนที่เอาอาหารมาก็เริ่มแบ่งปัน อัศจรรย์เกิดจากความรักและเลื่อมใสในองค์พระเยซูเจ้า หัวใจที่เห็นแก่ตัวอย่างเดียวก็ยอมที่จะร่วมมือและแบ่งปันสิ่งที่ตนมีกับผู้ที่ต้องการ ปาฏิหาริย์แท้เริ่มจากหัวใจที่ได้สัมผัสกับความรักและเมตตาของพระก่อน”
ขอเริ่มแบ่งปันความคิดของพระวาจาประจำวันอาทิตย์นี้ด้วยการอ้างอิงข้อคิดจากหนังสือ “ไบเบิ้ล ไดอารี่ 2014” ประจำวันนี้ดังที่นำมาลงไว้ให้อ่านเกี่ยวกับ อัศจรรย์การทวีขนมปังของพระเยซูเจ้า
อัศจรรย์ของการเพิ่มทวีของขนมปัง เป็นผลมาจากการที่มีผู้ริเริ่ม จากนั้นก็มีผู้ทำตาม และในพระวรสารวันนี้ผู้ริเริ่มผู้นั้นคือพระเยซูคริสตเจ้า พระองค์ทรงเริ่มให้ จากนั้นก็มีผู้ทำตามพระองค์ ทุกคนจึงได้กินอิ่มหนำจนมีเหลือเก็บ
ดังนั้น แม่แบบพ่อแบบ หรือ ผู้ริเริ่ม จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง พ่อแบบแม่แบบเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงในทุกๆเรื่อง
เช้าวันหนึ่งขณะเดินไปหน้าวัด เห็นผู้ปกครองเดินมาส่งเด็กหญิงลูกของตนเอง เด็กหญิงอายุน่าจะอยู่ในระดับชั้นมัธยมต้น ทั้งแม่และลูกสาวเดินอย่างอ้อยอิ่ง สบายใจ ทั้งๆที่เวลานั้นเป็นเวลาที่โรงเรียนเข้าไปแล้ว ลูกสาวเดินทอดน่องอยู่ข้างหน้า ส่วนแม่ที่ยังเป็นสาวอายุน่าจะไม่เกิน 40 เดินตามหลัง แต่ที่น่าสังเกตคือ ตัวแม่ขณะที่เดินตามหลังลูกสาว ก็เดินอ่านหนังสือเล่มหนึ่งไปด้วยอย่างชนิดทองไม่รู้ร้อน ไม่สนใจว่าจะเป็นเวลาเท่าไร ไม่สนใจว่าจะต้องเร่งรีบหรือไม่ และนี่คือตัวอย่างของแม่แบบประเภทที่หนึ่ง
ในบทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์วันนี้มีพระวาจาที่น่าสนใจอยู่ประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า “จงเงี่ยหูมาหาเราเถิด จงฟัง แล้วท่านจะมีชีวิต” ความหมายก็คือเพียง แค่ฟังพระวาจาก็สามารถทำให้ผู้ฟังนั้นมีชีวิตได้ มีชีวิตในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ มีลมหายใจ แต่ว่าแปลว่า มีชีวิตที่ดีตามแนวทางของพระ นอกนั้นความหมายของการฟังพระวาจา ในที่นี้ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่การฟังเฉยๆ โดยไม่ทำอะไร แต่การฟังพระวาจา หมายถึงการต้องนำพระวาจานั้นไปปฏิบัติด้วย ก็เหมือนกับ ความหมายของความเชื่อ ความเชื่อไม่ได้แปลว่า เชื่อเฉยๆ แต่ความหมายของความเชื่อที่เป็นแก่นแท้ๆหมายถึง ความเชื่อฟัง ซึ่งได้แก่ การยอมทำตาม ดังนั้นเมื่อผู้ฟังพระวาจาแล้วนำเอาพระวาจานั้นไปปฏิบัติก็ย่อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของคนคนนั้น ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไม่ได้เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเหนือธรรมชาติ และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นพลัง ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบุคคลอื่นๆที่อยู่ใกล้ชิด ดังที่พระเยซูเจ้าได้ทรงทำในการแบ่งปันขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว การลงมือปฏิบัติดังกล่าวก่อให้เกิดพลังของการปฏิบัติตาม มันหักหางใจตระหนี่ถี่เหนียวเห็นแก่ตัวของบุคคลที่อยู่ล้อมรอบพระองค์
ทำไมพระวาจาที่ถูกปฏิบัติ ในชีวิตของคนๆหนึ่งจึงเป็นพลังเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆนั้น เหตุผลก็เพราะพระวาจานั้นคือ ชีวิตของพระเจ้าเอง เวลาปฏิบัติหรือ ทำตามพระวาจา ก็เท่ากับเรานำเอาชีวิตของพระเจ้าเข้ามาใส่ไว้ในตัวเรา ยิ่งปฏิบัติมากความสนิทชิดเชื้อระหว่างตัวเรากับพระเจ้าก็จะมีมากขึ้นๆเป็นเงาตามตัว ชีวิตของพระเจ้าในพระวาจาจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราแต่ถ้าเราเพียงแค่อ่านพระวาจาแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่คิดที่จะนำไปปฏิบัติ พระวาจานั้นก็จะไม่เกิดผลแต่ประการใด ดังนั้นเราจึงเรียกพระวาจาของพระเจ้าว่า เป็นพระวาจาทรงชีวิต เพราะพระวาจานั้นให้ชีวิตพระเจ้าแก่เรา ชีวิตพระเจ้าซึ่งอยู่ในตัวเราผ่านทางการปฏิบัติพระวาจา จะมีพลังของพระเจ้าอยู่ในตัวที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้อื่นที่เขามาอยู่ใกล้ชิดและสัมผัสกับตัวเรา ดังนั้น ให้เราปฏิบัติพระวาจาอย่างจริงจังหลังจากการฟังพระวาจานั้นกันเถิด