สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง อาทิตย์ที่ 10 ส.ค. 2014
(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
2. ทรงสอนด้วยแบบอย่าง นอกจากเทศน์สอนด้วยคำพูดแล้วพระองค์ยังทรงสอนด้วยการกระทำคือด้วยแบบอย่างของพระองค์เองเช่นการล้างเท้าบรรดาอัครสาวก(ยน. 13:4-15) ทรงทำให้บรรดาสาวกต้องสำนึกถึงการรับใช้เพื่อนมนุษย์ต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเพื่อนมนุษย์กระทำแม้กระทั่งงานของพวกทาส(การล้างเท้าคือเป็นหน้าที่ที่จะกระทำให้นายของตน)
เชื่อว่าบรรดาอัครสาวกและประชาชนที่เห็นการกระทำของพระองค์ในครั้งนั้นคงจะนึกไม่ถึงและพากัน“อึ้ง” ไปตามๆกันแล้วพระองค์จึงสอนให้เขาเห็นความสำคัญ
ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือพระองค์ทรงสอนให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการที่จะต้องเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาเป็นต้นด้วยการภาวนาอยู่เสมอๆต่อพระบิดาเพราะความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดานี้เองเป็นพลังที่จะเอาชนะทุกสิ่งได้เช่นองค์พระเยซูเจ้าที่ภูเขามะกอกเทศ(ลก. 22:39-46) หรือพระองค์ทรงสอนให้เราภาวนาต่อพระบิดาด้วยพระองค์เองในบทข้าแต่พระบิดา(ลก. 11:1-4)
แบบอย่างที่สำคัญซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรำพึงไตร่ตรองให้ลึกซึ้งและจะพบแก่นแท้ของชีวิตการเป็นคริสตชนจริงๆนั่นก็คือพระองค์“ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขนอนกลางดินกินกลางทราย”กับประชาชนมิได้ทรงอยู่ในบ้านในสำนักงานในอาณาเขตของตนเท่านั้นแต่พระองค์ออกไปตามถนนตามหมู่บ้านตามชายฝั่งทะเลสาบหรือในเมืองก็ตามพระองค์ทรงพบกับผู้คนทุกเพศทุกวัยทุกชนชั้นวรรณะไม่ว่ายากดีมีจน…
ในบรรยากาศที่กล่าวมานี้เองพระองค์ทรงเทศน์สอนทรงกระทำอัศจรรย์ช่วยเหลือพวกเขาบรรเทาความทุกข์ยากเดือดร้อนให้กำลังใจทุกๆคนและไม่ทรงย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า… ทรงกล้าที่จะสู้กับความอยุติธรรมทุกรูปแบบทรงประณามผู้กระทำผิดแบบตรงไปตรงมาไม่เกรงใจเช่นการที่ทรงประณามชาวฟาริสีและบรรดาธรรมาจารย์(ลก. 11:37-53)
นอกจากนั้นเราจะพบว่าพระองค์มิได้เคยหยุดนิ่งที่จะประกาศข่าวดีแห่งความรอดคือทรงกระทำทุกสิ่งทุกวันทุกโอกาสในการช่วยเหลือมนุษย์พระองค์ทรงทราบดีว่าพระภารกิจที่พระบิดาทรงมอบหมายให้พระองค์นั้นยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งเป็นภารกิจที่จะต้องแลกด้วยชีวิตของพระองค์เอง
พระองค์ทรงทราบดีถึงความทรมานที่จะต้องรับทราบดีถึงการสิ้นพระชนม์บนกางเขนที่จะตามมาความนอบน้อมกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นสิ่งสูงส่งยิ่งใหญ่และนำมาซึ่งความรอดพ้นจากบาป-ความตายฝ่ายจิตใจของมนุษย์มันคือภารกิจแห่งการไถ่กู้มนุษยชาติของพระองค์นั่นเอง…สวัสดีครับ.