คำถามเปลี่ยนชีวิต
“ไม่ทราบที่มา”
มีปริศนาที่อยากให้ช่วยกันเฉลยหน่อย”ทำไมนกกระยางจึงยืนขาเดียว เวลาหลับ” ถ้าผ่านไป 5นามีแล้วคุณยังคิดไม่ออกนั่นเพราะคุณมัวแต่จะถามตัวเองใช่ไหมว่า…ทำไมมันยืนขาเดียว ทำไมมันไม่ยืนสองขา ลองเปลี่ยนมาถามตัวเองใหม่สิว่า…ทำไมมันหดขาเดียว ทำไมมันไม่หดสองขา เท่านี้แหละ คำตอบก็มาทันทีว่า”ถ้ามันหดทั้งสองขา มันก็ล้มน่ะสิ”
ปริศนาข้อนี้ตอบได้ง่าย หากเราเปลี่ยนมุมมอง หรือตั้งคำถามเสียใหม่ นกกระยางขาเดียวกับนกกระยางหดขาเดียว ที่จริงก็คือสิ่งเดียวกัน แต่เป็นภาพอันเกิดจากมุมมองที่ต่างกัน และสามารถชักนำความคิดของเราไปคนละทิศละทางได้การเปลี่ยนคำถามหรือมุมมอง มีผลเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณได้ คงมีหลายครั้งที่คุณรู้สึกเศร้าสร้อยน้อยใจ เฝ้าบ่นในใจว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเราเลย” การตอกย้ำกับตัวเองด้วยความคิดอย่างนี้บางทีก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย นอกจากตัวเองจะทุกข์แล้ว ยังทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงไปอีกลองเปลี่ยนมุมมองหรือตั้งคำถามใหม่สิว่า”แล้วเราล่ะ เข้าใจเขาบ้างหรือเปล่า” การถามแบบนี้อาจช่วยให้เราพบสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาก็ได้เพราะอันที่จริง เราเองก็คงไม่ได้เข้าใจเหมือนกันสัมพันธภาพของผู้คนทักมีปัญหาเพราะทุกคนคิดแต่จะเรียกร้องให้คนอื่นเข้าใจตนเอง แต่ไม่พยายามหรือแม้กระทั่งคิดที่จะเข้าใจคนอื่นถึงตรงนี้ คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่า “ทำไมเขาไม่เข้าใจเรา” แต่อยู่ที่”ทำไมเราถึงไม่เข้าใจเขา” และ “ทำอย่างไรเราถึงจะเข้าใจเขาได้” ในทำนองเดียวกัน สำหรับคนที่ชอบบ่นในใจว่า “ทำไมฉันถึงซวยอย่างนี้”หากเปลี่ยนมาถามตัวเองว่า “ทำไมฉันชอบบ่นอย่างนี้”เขาอาจได้คิดและลุกขึ้นมาสู้ใหม่ ไม่ทดท้อ หรืองอมืองอเท้าเหมือนเก่าการรู้จักคำถามเป็นศิลปะสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิตทุกวันนี้เราถูกสอนให้สนใจคำตอบจนลืมว่าคำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบมากคำถามนั้นเป็นตัวกำหนดคำตอบ พูดอีกอย่างก็คือคำถามเป็นตัวกำหนดความคิดและการกระทำของเราถ้าตั้งคำถามผิด ก็พาความคิดของเราเข้ารกเข้าพงซ้ำอาจพาชีวิตหลงทางไปด้วยเด็ก (และผู้ใหญ่) หลายคนชอบถามในใจเวลามีงานกองอยู่ข้างหน้าว่า “ฉันจะทำได้หรือ”คำถามอย่างนี้ชวนให้ท้อ แต่ความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไปหากเขาถามตัวเองใหม่ว่า “ทำไมฉันจะทำไม่ได้” อย่างไรก็ตามบ่อยครั้ง อุปสรรคไม่ได้อยู่ตรงที่ว่า ทำได้หรือไม่ได้ หากอยู่ที่แรงจูงใจมีคำถามหนึ่งซึ่งคุณหมอประเวศ วะสี บอกว่าเป็นคำถามที่น่าเกลียดที่สุด แต่เป็นคำถามที่กำลังระบาดไปทั่วสังคมไทย นั่นก็คือ คำถามว่า “ทำแล้วฉันจะได้อะไร”คำถามอย่างนี้ทำให้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้นทำให้จิตใจแคบลง และหาความสุขไ้ด้ยากจะไม่ดีกว่าหรือ หากเราถามใหม่ว่า”ทำแล้วส่วนรวม (หรือสังคม) จะได้อะไร” การคำนึงถึงส่วนรวม โดยเริ่มต้นจากคำถามแบบนี้จะช่วยให้สังคมไทยน่าอยู่มากขึ้น และคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวมก็จะได้ไม่ต้องมาคอยตอบคำถามของญาติมิตรว่า”ทำแล้วเธอได้อะไร” หรือถูกตั้งข้อสงสัยว่า “ได้ไปเท่าไหร่” การถามว่า ใคร กับ ทำไม ให้ผลที่แตกต่างกันมากเวลาเกิดเหตุร้ายขึ้นมา คนส่วนใหญ่มักสนใจว่า ใครทำแต่ไม่ค่อยถามว่า ทำไมเขาจึงทำคำถามแรกนั้นเพียงแต่สนองความอยากรู้อยากเห็นแต่คำถามหลังช่วยให้เห็นสาเหตุของปัญหาและอาจนำมาเป็นบทเรียนแก่ตนเองได้คุณโสภณ สุภาพงษ์ เล่าว่า ตอนที่ไปบริหารโรงกลั่นน้ำมันบางจากใหม่ ๆ โรงกลั่นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก อุบัติเหตุเกิดขึ้นประจำ ขาดทุนมหาศาลขณะที่ขวัญของพนักงานไม่ดี เพราะมีปัญหาสืบเนื่องจากเจ้าของเดิมคุณโสภณเล่าว่า เวลาเกิดอุบัติเหตุในโรงกลั่น จะไม่ถามพนักงานว่า”ใครทำ” แต่จะถามว่า “ทำไมถึงเกิดขึ้น”
วิธีการดังกล่าวมีผลคือ ทำให้พนักงานช่วยกันหาสาเหตุและวิธีป้องกันแก้ไขแทนที่จะซัดทอดหรือกล่าวโทษกันซึ่งมีแต่จะทำให้แตกความสามัคคีกันมากขึ้นในเวลาไม่นาน โรงกลั่นก็แทบไม่มีอุบัติเหตุเลยกำไรก็เพิ่มมากขึ้น จนมีสถานะมั่นคงส่วนพนักงานก็ทำงานอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไรก็ตาม คงไม่มีคำถามใดสำคัญ เท่ากับคำถามเกี่ยวกับชีวิตจิตใจของเราเองถ้าเราเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อนกับการถามตัวเองไม่รู้จบว่า”เมื่อไหร่ฉันถึงจะรวยเสียที” ลองเปลี่ยนมาเป็นคำถามว่า “เมื่อไหร่ฉันถึงจะพอเสียที” ลองเหลียวดูรอบตัวเถิด ตอนนี้คุณอาจร่ำรวยอยู่แล้วก็ได้แต่ยังไม่พอใจเสียที เพราะเอาแต่ชะเง้อมองคนอื่นที่มีมากกว่าแต่ถึงแม้คุณจะยังไม่รวย ก็ให้พยายาม บ่มเพราะความพอใจในสิ่งที่ตนมีแล้วคุณจะพบกับความร่ำรวยชนิดที่ไม่มีใครสามารถมาแย่งชิงได้……..
(จาก http://www.stjohn.ac.th/University/Guidance/kum-tham.htm)