วันฉลองเทิดทูนไม้กางเขน
โดยพระสังฆราชฟรังซิสวีระอาภรณ์รัตน
ความศรัทธาภักดีต่อพระทรมานของพระคริสตเจ้าหัวใจของการไถ่กู้คริสตชนเป็นแก่นชีวิตจิตคริสตชนดังเช่น ความศรัทธาภักดีต่อศีลมหาสนิทและความศรัทธาภักดีต่อพระหฤทัยพระเยซูเจ้ามีวันฉลองในพิธีกรรมประจำปีดังนั้นความศรัทธาภักดีต่อพระทรมานของพระคริสตเจ้าคือวันฉลองเทิดทูนกางเขน(14 กันยายน) อันที่จริงพิธีวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์เราแสดงความศรัทธาภักดีนี้อย่างสง่าและสวยงามด้วยการนมัสการไม้กางเขน(ดูคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิกCCC 571-573, 599-627)
“พระธรรมล้ำลึกปัสกาเกี่ยวกับไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลางของข่าวดีที่บรรดาอัครสาวกและพระศาสนจักรในระยะต่อมาจักต้องประกาศให้โลกได้ทราบแผนการของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดได้สำเร็จไป‘ในครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว’ (ฮบ. 9:26) ด้วยการสิ้นพระชนม์เพื่อการไถ่บาปมนุษย์ขององค์พระบุตรคือพระคริสตเยซู” (CCC 571)
นักบุญเฮเลนาและไม้กางเขนแท้
พระศาสนจักรเคยฉลองการค้นพบไม้กางเขนแท้ของพระเยซู ในวันที่ 3 พฤษภาคมตามประเพณีกล่าวว่าพระมารดาของจักรพรรดิคอนสตันติน คือ เฮเลนา เป็นผู้พบไม้กางเขนแท้ เธอได้แต่งงานกับแม่ทัพโรมันชื่อคอนสตันติน คลอรูสแต่ที่สุดได้หย่ากันลูกของพระนางชื่อคอนสตันติน ซึ่งต่อมาได้เป็นจักรพรรดิของโรมใน ค.ศ. 306 และใน ค.ศ. 313 จักรพรรดิได้ฝันที่สะพานมัลเวียนว่า “อาศัยเครื่องหมายไม้กางเขนนี้ท่านจะรบชนะ” เมื่อเหตุการณ์เป็นจริงจึงทำให้เกิดพระราชโองการที่มิลาน ที่ได้อนุญาตให้คริสตชนมีเสรีภาพในการนมัสการพระเจ้า
พระนางเฮเลนาขณะนั้นอายุ 63 พรรษาได้กลับใจมาเป็นคริสตชนด้วยความยินดี ดังที่นักประวัติศาสตร์ยูเซบีอูสได้บันทึกเรื่องนี้ตามประวัติกล่าวว่า พระนางเฮเลนาเป็นผู้ค้นพบไม้กางเขนแท้ใน ค.ศ. 326 เธอให้ขุดบริเวณคูหา ที่ฝังศพของพระเยซูเจ้าและได้พบไม้กางเขน 3 อันที่เชื่อว่าใช้ในวันที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์บนเนินเขากัลวารีโอเมื่อสตรีผู้ป่วยได้ไปสัมผัสกางเขนอันหนึ่ง และได้รับการรักษาให้หายอย่างอัศจรรย์จึงเชื่อว่านั่นเป็นไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า พระนางเฮเลนาจึงนำไม้กางเขนนั้นมาหุ้มด้วยเงินและบรรจุไว้ณพระคูหาและนำอีกส่วนหนึ่งไปกรุงโรม
พระเยซูเจ้าเคยตรัสว่า “โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใดบุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้นเพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์จะมีชีวิตนิรันดร” (ยน. 3:14-15) เหมือนวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม้กางเขนได้แบ่งประชาชนที่นั่นเป็นสองกลุ่ม ในวันสุดท้ายจะเป็นเช่นนั้น“เวลานั้นเครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏบน ท้องฟ้า” (มธ. 24:30) เราจะรู้สถานที่ของเราว่าอยู่ข้างซ้ายหรือข้างขวา
…ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากภูเขาโฮร์มุ่งสู่ทะเลต้นกกเพื่อเลี่ยงแผ่นดินเอโดม แต่ขณะที่อยู่ตามทางประชากรเริ่มหมดความอดทน จึงพากันบ่นว่าพระเจ้าและโมเสสว่า “ทำไมท่านจึงพาพวกเราออกมาจากประเทศอียิปต์ให้มาตายในถิ่นทุรกันดารนี้เล่า ที่นี่ไม่มีทั้งน้ำและอาหาร พวกเราเบื่ออาหารจืดชืดนี้เต็มทีแล้ว”องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งงูพิษมากัดประชาชน ทำให้ชาวอิสราเอลตายเป็นจำนวนมาก คนทั้งปวงจึงไปหาโมเสสขอร้องว่า “พวกเราทำบาปเพราะบ่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและบ่นว่าท่าน ขอท่านได้ทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทรงขจัดงูพิษเหล่านี้ออกไปเสียเถิด” โมเสสจึงอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อประชากร แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่โมเสสว่า “จงทำงูโลหะติดไว้บนเสา ผู้ที่ถูกงูกัดและมองดูงูโลหะนั้น จะรอดชีวิต” โมเสสจึงทำงูทองสัมฤทธิ์ขึ้นติดไว้ที่เสา ผู้ที่ถูกงูกัด และมองดูงูทองสัมฤทธิ์นั้นก็รอดชีวิต(กดว 21:4-9)
คริสตชนทุกคนเคารพไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าแขวนที่สร้อยแขวนที่บ้าน ในวัด ฯลฯ เราทำเครื่องหมายกางเขนก่อนทำกิจกรรมต่างๆเพื่อเตือนใจว่าเราทำเหมือนกับช่วยพระเยซูแบกไม้กางเขน และมีส่วนร่วมในการไถ่กู้โลก
“นี่คือไม้กางเขน ที่พระผู้ไถ่โลก ได้ตรึงแขวนอยู่……เชิญมากราบ นมัสการ ร่วมกันเถิด”