สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง อาทิตย์ที่ 14 ก.ย. 2014
(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
ในที่สุดเหตุการณ์สุดท้ายในพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าก็มาถึงถือเป็นบทสรุปสุดท้ายแห่งการเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อกอบกู้(ไถ่บาป) มนุษย์นั่นเองเหตุการณ์ดังกล่าวคือทรงรับทรมานทรงสิ้นพระชนม์และทรงเสด็จกลับคืนพระชนม์อันหมายถึงพระองค์จบสภาพความเป็นมนุษย์บนโลกนี้
ให้เหตุการณ์นี้แต่ละขั้นตอนล้วนมีความหมายในตัวของมันเองถือมีความสำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ทั้งหลาย
ทรงรับทรมานหนที่สุดแล้วพระองค์ทรงเลือกรูปแบบของการกอบกู้มนุษย์ด้วยชีวิตของพระองค์เองถ้าจะพูดเข้าใจง่ายๆก็คือทรงใช้ชีวิตของพระองค์เพื่อแลกกับชีวิตของมนุษย์ช่วยให้มนุษย์พ้นจากบาป(ความตายฝ่ายวิญญาณ) หมายถึงการทำให้มนุษย์นั้นมีหนทางที่จะกลับเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้าอีกครั้งหนึ่ง(หลังจากถูกขับไล่จากสวนสวรรค์)
วิธีดังกล่าวเริ่มแบบมนุษย์คือถูกจับถูกทรมานประหนึ่งว่าเป็นนักโทษที่จะต้องรับโทษหนักและก็ต้องรับสภาพเช่นนั้นจริงๆทั้งๆที่มิได้ทรงทำผิดแต่ประการใดโทษที่พระองค์ทรงรับนั้นเราจึงได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆว่า“ทรงรับโทษแทนเรา”
ความทุกข์ทรมานที่พระองค์ทรงรับนั้นเป็นความทรมานที่แสนสาหัสสำหรับมนุษย์จริงๆดังที่เราได้ทราบกันในพระวรสารและที่ได้เห็นกันในภาพยนตร์ที่มีผู้นำไปสร้างหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะในเรื่อง“The Passion”เรียกได้ว่าคนที่ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องหลั่งน้ำตากันแทบทุกคนแม้จะมิได้เป็นคริสตชนก็ตาม
เริ่มตั้งแต่ทรงถูกสวมมงกุฎหนามทรงถูกนำไปเฆี่ยนทรงแบกางเขนไปตามเขากัลวารีโอทรงถูกเหยียดหยามจากผู้คนทรงต้องพบกับพระมารดาระหว่างทางทรงล้มลงหลายครั้งฯลฯ
แน่นอนในความเป็นมนุษย์นั้นคงไม่ต้องพรรณาว่าพระองค์ทรงเจ็บปวดทางร่างกายมากแค่ไหนนอกจากนั้นความทรมานทางจิตใจก็คงเกิดขึ้นกับพระองค์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ดังนี้เองเราจึงได้รับคำสั่งสอนสืบทอดกันมาเสมอว่าชีวิตของเราเองในโลกนี้จึงต้องร่วมมีส่วนในความทุกข์ทรมานกับพระองค์ด้วยเราจะต้องเป็นเหมือนยอแซฟชาวอาริมาเธียที่ช่วยพระองค์แบกกางเขนสิ่งนี้จึงเป็นความจริงสำหรับศิษย์ของพระเยซู(คริสตชน) ตามที่พระองค์ทรงตรัสกับประชาชนว่า“ถ้าผู้ใดอยากติดตามเราก็จงเลิกนึกถึงตนเองจงแบกไม้กางเขนของตนทุกวันและติดตามเรา”(ลก9:23)
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเราจึงต้องพบกับความทุกข์ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจมันจึงเป็นคำตอบให้กับชีวิตประจำวันของเราได้เป็นอย่างดี…สวัสดีครับ.
(ต่อสัปดาห์หน้า)