เราไม่อยากอยู่ในวัดที่เป็นอิฐและปูน
“ท่านจะไม่เป็นผู้สร้างวิหารให้เราอยู่” (2 ซามูแอล 7:5) นั่นคือสิ่งที่พระยาห์เวห์ (หมายเหตุ:ยังใช้ชื่อเรียก “พระยาห์เวห์” เพราะแม้แต่ในหนังสือพระคัมภีร์คาทอลิก ฉบับสมบูรณ์ก็ยังใช้ชื่อพระยาห์เวห์เรียกพระนามของพระเป็นเจ้า) ฝากประกาศกนาธันไปบอกกับดาวิด แสดงถึงพระประสงค์ว่า พระองค์ไม่ต้องการให้มือเปื้อนเลือดของดาวิด เป็นมือที่สร้างบ้านให้พระองค์อยู่ เพราะต่อมากษัตริย์ดาวิดเองก็บอกเหตุผลนี้ แก่ประชาชนของพระองค์ ว่าทำไมพระเป็นเจ้าจึงไม่ต้องการให้ท่านเป็นผู้สร้างพระวิหารให้แก่พระองค์ “…..เราปรารถนาที่จะสร้างพระวิหารให้เป็นที่พำนักถาวรของหีบพันธสัญญาของพระยาห์เวห์……. แต่พระเจ้าตรัสกับเราว่า ท่านจะไม่สร้างวิหารแด่นามของเรา เพราะท่านเป็นนักรบที่ได้หลั่งโลหิตในสงคราม (1 พงศวดาร 28:2-3)
พระเป็นเจ้าไม่ชอบให้มือเปื้อนเลือดสร้างบ้านให้พระองค์ แต่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นที่ไม่ใช่สำหรับตัวของดาวิด แต่สำหรับลูกๆหลานๆของท่านในอนาคต และเจตนาของพระองค์ปรากฏอยู่ที่ท้ายของบทอ่านที่ 1 ในวันนี้ ในข้อที่ 11 และข้อที่ 16 “…..เราจะสร้างบ้าน(ราชวงศ์)ให้ท่าน…..บ้าน(ราชวงศ์) และอาณาจักรของท่านจะมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราตลอดไป อำนาจปกครองของท่านจะตั้งมั่นอยู่ตลอดไป” (2 ซามูแอล 7:11,16)
บ้านใหม่นี้คือบ้านทางจิตวิญญาณและจะเป็นบ้านที่มั่นคง ไม่ผุพัง และเสื่อมสลาย ในเวลาเดียวกันจะไม่มีสิ่งใดที่จะทำลายบ้านของพระเป็นเจ้าหลังนี้ได้ เพราะบ้านหลังนี้เกิดจากฝีพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า
และบ้านหลังนั้นคือ ชีวิตของมนุษย์ที่พระองค์อยากจะเข้ามาอยู่
พระเป็นเจ้าไม่ต้องการบ้านที่เป็นอิฐเป็นปูน ไม่ว่ามันจะสวยงาม หรือ ล้ำค่าเพียงใด เพราะพระเป็นเจ้าทรงเป็นจิต และพระองค์ก็ต้องการประทับอยู่กับสถานที่พักอาศัยที่เป็นจิต
เชิญเราดูบทสนทนาระหว่างพระเยซูเจ้ากับหญิงชาวสะมาเรีย ที่บ่อน้ำยาโคบ ในบทสนทนานั้นพระเยซูเจ้าตรัสกับหญิงผู้นั้นว่า
“แต่จะถึงเวลาคือเวลานี้ เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิตผู้ที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง” (ยอห์น 4:23-24)
การนมัสการที่พระเยซูเจ้าทรงพูดถึงคือ การนมัสการพระเป็นเจ้าด้วยจิตวิญญาณและด้วยชีวิต เป็นการนมัสการพระเป็นเจ้าเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริง
การนมัสการพระเป็นเจ้าเดชะพระจิตเจ้าและตามความจริงก็คือ ชีวิตที่นอบน้อมเชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่ง(ความจริง)ที่พระจิตเจ้าบอก
ดังนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าวัดไปนมัสการพระแต่ต้องนมัสการพระในการปฏิบัติดำเนินชีวิตประจำวัน ในทุกๆวินาที แต่ภายใต้การนำ การดลใจของพระจิตเจ้า
เมื่อปฏิบัติอย่างนั้น คือเมื่อเชื่อฟังและยอมปฏิบัติตามสิ่งที่พระจิตเจ้าบอกและดลใจ สิ่งสำคัญจะเกิดขึ้นคือ การเสด็จลงมาประทับขององค์พระผู้เป็นเจ้าในชีวิตของบุคคลที่มีความเชื่อฟังนั้น
และเหตุการณ์ดังกล่าวปรากฏในพระวรสารวันนี้ นั่นคือ ทันทีที่พระนางมารีย์ตอบรับคำของทูตสวรรค์ว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าขอให้เป็นไปกับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด”
ณ เวลานั้นการเสด็จลงมาประทับในพระครรภ์ของแม่พระขององค์พระเยซูคริสตเจ้าก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
ชีวิตของแม่พระได้กลายเป็นพระวิหารที่ประทับที่พระเป็นเจ้าทรงพอพระทัยมากที่สุด เพราะแม่พระเป็นพระวิหารทรงชีวิตที่เต็มไปด้วยความนอบน้อมเชื่อฟังต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า
นักบุญเปาโลเตือนเรานับครั้งไม่ถ้วนว่าชีวิตของเราคือ พระวิหารและที่ประทับของพระเป็นเจ้า (ดู 1 โครินธ์ 3:16-17, 1 โครินธ์ 6:19, โรม 6:16, เอเฟซัส 2:21-22 ฯลฯ) ดังนั้นเราต้องให้ความสนใจและใส่ใจ กับพระวิหาร หรือวัดที่มีชีวิตนี้มากกว่าสนใจและใส่ใจ วัดที่เป็นอิฐเป็นปูน