ฉลองครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า พระแม่มารีย์ และนักบุญโยเซฟ
เรากำลังเผชิญหน้ากับความล่มสลายของครอบครัวแบบเก่า และความเสื่อมถอยแห่งคุณค่าของครอบครัว เช่นความเคารพของบุตร ต่ออำนาจที่ของบิดามารดาใช้อย่างรับผิดชอบ และจำนวนที่เพิ่มขึ้นของเยาวชนเสเพล ติดยาเสพติด คนชราถูกทอดทิ้ง คนพิการไม่ได้รับการดูแล ดังนั้นสังคมของเราอาจเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากบทอ่านในหนังสือบุตรสิราตอนนี้ได้เป็นอย่างดีนั่นคือ ความเคารพยำเกรงและความรักเป็นค่านิยมในสังคมที่ควรจะเก็บรักษาไว้ด้วยความหวงแหน “บุตรที่เคารพนับถือบิดา ก็ใช้หนี้บาปของตน บุตรที่ให้เกียรติมารดาก็เท่ากับสะสมทรัพย์สมบัติไว้ ใครเคารพนับถือบิดามารดาก็จะประสบความสุขสันต์หรรษากับบุตรของตนเอง ในวาระที่เขาภาวนาอ้อนวอน พระเจ้าก็จะสดับฟัง บุตรที่ให้เกียรติบิดาจะมีอายุยืน บุตรที่เชื่อฟังพระเจ้า จะทำให้มารดาชื่นใจ ผู้ที่เคารพยำเกรงพระเจ้า ย่อมให้เกียรติแด่พระบิดา เขาจะรับใช้บิดามารดาดังรับใช้พระเจ้า เหตุว่า การมีใจเมตตาต่อบิดาจะไม่มีวันลืม แต่กลับจะเป็นสินใช้หนี้บาปของเจ้า เมื่อเวลาเจ้าตกระกำลำบาก พระเจ้าจะระลึกถึงคุณงามความดีของเจ้า และจะทำให้บาปของเจ้าสลายไปดุจน้ำแข็งถูกแดด ใครที่ดูหมิ่นบิดา ก็ดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ใครยั่วโทสะมารดา พระเจ้าจะทรงสาปแช่ง ลูกเอ๋ยจงกระทำทุกอย่างด้วยใจสุภาพอ่อนโยน และเจ้าจะเป็นที่รักใคร่มากกว่าคนใจบุญ” (บสร.3: 3 – 7,14 – 7)
แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบทางแก้วิกฤตการณ์ของครอบครัวในปัจจุบัน ครอบครัวของคริสตชนเอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน โรงเรียน โทรทัศน์ เพื่อนฝูง หรือการหย่อนใจ แต่ในท่ามกลางพายุร้าย เรื่องยังต้องได้รับการนำร่องอาศัยแสงสว่างจากประภาคารการเอาใจใส่พูดคุยถกปัญหากับบุตรของตน การให้คำแนะนำความรักที่ถูกต้อง ย่อมเป็นประภาคารให้กับครอบครัว “การทำสิ่งที่น่ารัก” ให้กัน การอ่านพระคัมภีร์พร้อมกันในครอบครัวเป็นประจำ ตามด้วยการสนทนา และลงท้ายด้วยการภาวนาก็น่าจะเรียกได้ว่าเราดำเนินชีวิตครอบครัวตามแบบอย่างพระเยซูเจ้า พระนางมารีย์ และนักบุญโยเซฟ “ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์” แห่งนาซาเร็ธ ความห่วงใยของโยเซฟต่อพระนางมารีย์ และพระเยซูเจ้า ที่มีความสัมพันธ์กัน อันเนื่องมาจากความมั่นคงในพระเจ้า ครอบครัวคริสตชนที่มีความเชื่อมั่นคงในพระเจ้า ครอบครัวคริสตชนที่มีความเชื่อมั่นในพระเป็นเจ้าก็จะดำรงอยู่ในสันติสุข และในความคุ้มครองของพระองค์เสมอไป ซึ่งเราจะเห็นได้จากบทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิวที่แสดงให้เห็นถึง บุญของผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิถีทางของพระเจ้า “เมื่อพวกโหราจารย์กลับไปหมดแล้ว ทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาเข้าฝันโยเซฟกล่าวว่า “ลุกขึ้นเถิด จงพาพระกุมารกับพระมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ อยู่ที่นั่น จนกว่าเราจะสั่งให้เจ้าไปอยู่ที่อื่น เพราะกษัตริย์เฮโรดจะค้นหาพระกุมารเพื่อฆ่าเสีย”โยเซฟพาพระกุมารและพระมารดาหนีไปประเทศอียิปต์ในคืนนั้นเอง แล้วอาศัยอยู่ในประเทศนั้นจนกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์ ที่เป็นเช่นนี้ก็สมจริงดังที่พระเจ้าเคยตรัสผ่านทางประกาศกว่า เราเรียกบุตรของเรา ออกจากประเทศอียิปต์” หลังจากกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็มาเข้าฝันโยเซฟในประเทศอียิปต์อีก และกล่าว่า “จงลุกขึ้นพาพระกุมารและพระมารดากลับไปประเทศอิสราเอลเถิดเพราะผู้ที่พยายามประหารพระกุมารนั้นตายเสียแล้ว” โยเซฟก็ตื่นขึ้น พาพระกุมารกับพระมารดากลับไปประเทศอิสราเอล แต่ครั้นได้ยินว่าอารเคลาอัสขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ในแคว้นยูเดียต่อจากเฮโรด โยเซฟก็กลัว ไม่กล้าตั้งหลักแหล่งอยู่ในเขตนั้นต่อไป ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าทรงบอกท่านในฝันด้วย ท่านจึงอพยพไปแคว้นกาลิลี ไปอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ ที่เป็นไปดังนี้ก็สมจริงตามคำทำนายที่กล่าวไว้ว่า “ใครๆ จะเรียกพระองค์ว่าชาวนาซาเร็ธ” (มธ.2:13-15,19-23) ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ เป็นตัวอย่างของครอบครัวคริสตชน พระเยซูเจ้าทรงเป็นหัวใจของครอบครัวทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งถึงพระเป็นใหญ่ ครอบครัวนี้แม้จะยากจนขัดสน แต่เป็นครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ และเต็มเปี่ยมด้วยความสุข
“พระวรสาร” ยืนยันว่า พระเยซูเจ้าทรงนบนอบ เชื่อฟังแม่พระและนักบุญโยเซฟ ตั้งแต่ทรงบังเกิด ณ เบธเลแฮม จนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ณ ภูเขากัลวาริโอ ครั้งหนึ่งหลังจากฉลองวันปัสกาแล้ว พระเยซูเจ้าทรงหายไป