ติดตามพระเยซูเจ้าและการทิ้งทุกสิ่ง
ทันทีที่ได้ยินคำเชิญของพระเยซูเจ้า ทั้งซีโมน และ อันดรูว์น้องชายก็ทิ้งแหไว้ และติดตามพระเยซูเจ้าไปในทันที
สิ่งที่ผลักดันเขาทั้ง 2 ให้ทิ้งแหอวน และติดตามพระเยซูเจ้าไป อาจจะเป็นความเบื่อหน่าย กับการงานอาชีพเดิม เบื่อการทำงานที่อนาคตไม่แน่นอน เพราะการเป็นชาวประมงจับปลา ไม่ใช่ว่า ออกเรือทุกครั้ง จะจับปลาได้ทุกครั้งก็หาไม่ มีบางครั้งหรือหลายครั้ง ที่กลับเข้าฝั่งแล้วจับอะไรไม่ได้เลย
ทั้ง 2 อาจจะเบื่อกลิ่นคาวปลา เบื่อชีวิตชาวประมงที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไม่มีความเจริญก้าวหน้า ดังนั้นทันทีที่ทั้ง 2 ได้ยินคำเชิญของพระเยซูเจ้า ทั้ง 2 ก็ตัดสินใจเสี่ยงดวง ติดตามพระเยซูเจ้าไป เพราะถ้าไม่ดีจริงๆ ก็กลับบ้าน กลับมาทำอาชีพเดิม
แต่การเสี่ยงดวงของท่านทั้ง 2 ได้พาท่านไปพบกับสิ่งใหม่ๆในชีวิต ที่เปลี่ยนชีวิตทั้งของตัวท่านเอง และของคนทั้งโลก
นี่คือชีวิตของศิษย์รุ่นแรกๆของพระเยซูเจ้า ที่ได้ตัดสินใจลองรับคำเชิญ แต่แล้วก็ได้พบกับความเป็นจริง
ศิษย์รุ่นต่อๆมาก็ได้ค่อยๆเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น ถึงคำเชื้อเชิญของพระเยซูเจ้า พวกเขาได้มีประสบการณ์ชีวิต จากคำเชื้อเชิญนั้น และได้ประสบผลสำเร็จ ในการรับคำเชิญ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิต
ผ่านมา 2 พันกว่าปี ศิษย์รุ่นแล้วรุ่นเล่าได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเชิญของพระเยซูเจ้า เป็นสิ่งดีและมีคุณค่า เพียงแต่ว่าเราจะตัดสินใจรับคำเชิญอย่างจริงจังหรือไม่เท่านั้น
จงตามเรามาเถิด…….ทั้ง 2 ทิ้งแหไว้แล้วตามพระองค์ไป
แหและอวนคือเครื่องมือหากิน ดังนั้นแหและอวนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตชาวประมง แต่ท่านทั้ง 2 ก็ยอมทิ้งสิ่งสำคัญนั้น เพื่อติดตามพระเยซูเจ้า
มันเป็นบทเรียนสอนชีวิตของเรา ผู้เป็นศิษย์รุ่นต่อๆมา
ศิษย์แท้ต้องยอมทิ้งทุกอย่างแม้กระทั่งสิ่งที่จำเป็นที่สุดสำหรับชีวิต
มันต้องทิ้ง…..เพราะถ้าไม่ทิ้ง…..การติดตามพระเยซูเจ้าก็จะไม่เกิดผลสมบูรณ์ เพราะสิ่งที่เราไม่ยอมทิ้งนั้นจะคอยถ่วงชีวิตของเรา ทำให้ไม่สามารถติดตามพระเยซูเจ้าได้อย่างใกล้ชิด
นักบุญเปาโลสอนเราอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ในบทอ่านที่ 2 ของท่านวันนี้
“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่า เวลานั้นสั้นนัก ตั้งแต่นี้ไปผู้ที่มีภรรยาจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีภรรยา ผู้ที่ร้องไห้จงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่ร้องไห้ ผู้ที่มีความสุขจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีความสุข ผู้ที่ซื้อจงเป็นเสมือนผู้ที่ไม่มีสิ่งใดเป็นกรรมสิทธิ์ และผู้ที่ใช้ของของโลกนี้จงเป็นเสมือนผู้ที่มิได้ใช้ เพราะโลกดังที่เป็นอยู่กำลังจะผ่านไป” พระเยซูเจ้าเองก็สอนเราไม่ให้เป็น “ข้า 2 เจ้าบ่าว 2 นาย”
ในบทเพลงสดุดี ซึ่งเป็นบทคั่นในวันนี้ ในข้อ ก ก็เป็นคำวิงวอนต่อพระเป็นเจ้าอย่างชัดเจน
ก. ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์
โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า
โปรดทรงนำข้าพเจ้าให้เดินตามทางแห่งความจริงของพระองค์
เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น
ข้าพเจ้าหวังในพระองค์ตลอดวัน
พระเยซูเจ้าได้สอน หนทางของพระองค์ ให้แก่เราแล้ว แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า เราได้ฟังพระองค์ไหม? หรือได้ฟังแล้ว ได้ปฏิบัติตามไหม? หรือว่า พระองค์จะสอนก็สอนไป แต่ฉันก็ทำตามทางของฉันเหมือนเดิม พวกเราต้องไม่ลืมคำเตือนของท่านเปาโลว่า “เวลานั้นสั้นนัก” เพราะฉะนั้นจะคิดทำอะไร หรือตั้งใจ ทำอะไร ก็ต้องทำทันที
เราประกาศตนว่าเราเป็นศิษย์แท้ของพระเยซูเจ้าให้เราพิจารณาตัวเองว่าเราได้ยอมทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างตามที่พระองค์เรียกร้องแล้วหรือยัง? และคำเชิญของพระเยซูเจ้าที่บอกว่า “จงตามเรามาเถิด” ก็คือ คำเชื้อเชิญให้เราทิ้งทุกอย่าง ตามแบบอย่างชีวิตของพระองค์
+ พระเยซูเจ้าทรงยอมทิ้งความเป็นพระเจ้า เพื่อมาเป็นมนุษย์
+ พระเยซูเจ้าทรงยอมทิ้งความร่ำรวย เพื่อจะเจริญชีวิตอย่างยากจน
+ พระเยซูเจ้าทรงยอมทิ้งเกียรติยศชื่อเสียง เพื่อเจริญชีวิตอย่างเรียบง่าย
+ พระเยซูเจ้าทรงยอมทิ้งตัวตน เพื่อเจริญชีวิตอย่างนอบน้อมถ่อมตน ทั้งต่อพระและต่อผู้แทนของพระ
+ และสุดท้าย พระเยซูเจ้าทรงยอมทิ้งชีวิตของตนเอง เพื่อให้ชีวิตนั้นไปช่วยผู้อื่น
คำถามคือ เรายอมทิ้งอะไรบ้างหรือยัง?