พระนำทางเรา นำเราให้มอบความรักของพระองค์
พวกยิวจึงถามกับพระคริสตเจ้าว่าพระองค์จะแสดงหมายสำคัญอะไรให้พวกเห็นว่าพระองค์มีสิทธิ์ทำการเช่นนี้ได้ พระองค์จึงตรัสตอบพวกเขาว่าให้พวกเขาทำลายวิหารนี้ และพระองค์จะสร้างขึ้นภายในสามวัน”
มีเรื่องราวมากมายที่พี่น้องต่างศาสนาไม่เข้าใจวิถีชีวิตของเราพี่น้องคริสตชน หรือแม้แต่พี่น้องคริสตชนที่ห่างๆจากวิถีชีวิตคริสตชนหรือพูดง่ายๆสั้นๆว่าไม่ค่อยได้สวดไม่ค่อยมาวัดไม่ค่อยอ่านพระคัมภีร์พระวาจาก็มีไม่น้อยที่ไม่เข้าใจวิถีชีวิตอย่างคริสตชน ไม่เข้าใจว่าทำไมพระเยซูเจ้าจึงสอนจึงกระทำอย่างที่มีในพระวาจา ไม่เข้าใจวิธีที่พระบิดาแสดงพระเมตตารักของพระองค์ได้ถึงเพียงนี้
พี่สาวท่านหนึ่งเข้ามาขอบคุณที่ก่อนหน้านี้พ่อได้เตือนสติเขาให้เขาใจเย็นให้อภัยเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ดูจะไม่เข้าใจไม่รู้จักไม่เคารพเขาและพ่อที่ติดต่อธุรกรรมการเงิน ง่ายๆกับคำตอบของพ่อ…ก็คือ เขาไม่รู้จักคำว่า “คุณพ่อ หรือ พระสงฆ์” ในศาสนคริสต์-คาทอลิกเหมือนอย่างที่เราคริสตชนรู้จักนั่นเอง
“พี่น้อง ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องขอดูอัศจรรย์ และชาวกรีกแสวงหาปรีชาญาณ แต่เราประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขน อันเป็นเรื่องที่ชาวยิวรับไม่ได้ และชาวกรีกเห็นเป็นเรื่องโง่เขลา แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น…ต่างถือว่าพระคริสตเจ้าทรงเป็นทั้งพระอานุภาพและพระปรีชาญาณของพระเจ้า” (1คร 1:22-24) เล่าย้อนอีกครั้งหนึ่งว่า พ่อมีคติประจำชีวิตเล่นๆว่า “คนไทยใจดี คริสตังค์ต้องให้อภัย และพระสงฆ์ต้องให้อภัยเจ็ดครั้งเจ็ดสิบหน” อันเป็นต้นแบบให้พ่อได้ลองใช้(และใช้แล้วได้ผล)ที่จะใจเย็นลงและให้อภัยผู้อื่นได้ดีขึ้น พ่อมีข้อตั้งใจว่า ทุกครั้งที่ขับรถออกจากวัดไม่ว่าจะยาวนานเท่าใด ก่อนที่จะขับรถกลับถึงวัดต้องพยายามให้อภัยคนอื่นเจ็ดครั้งให้จงได้
ทำไปเรื่อยๆจนไม่รู้สึกว่าคนอื่นทำให้เราเดือดร้อนหรือโมโหและแม้จะพยายามหาคนหรือรถที่จะทำร้ายเราและเราจะให้อภัยเขาก็เริ่มหายากขึ้น (อ่านเหตุการณ์ว่าใจเราเย็นลง) จนทีสุดต้องเพิ่มเติมด้วยการพยายามที่จะหยุดหรือชะลอรถเพื่อเปิดทางให้รถคันอื่นหรือคนอื่นข้ามถนนก่อน ชีวิตจิตหรือชีวิตพระเริ่มก้าวหน้าขึ้นมีความสุขมากขึ้นไม่ต้องเครียดเวลาอยู่บนถนน หรือแม้กระทั่งชีวิตที่อยู่นอกรถไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม
“พระเจ้าตรัสทุกถ้อยคำต่อไปนี้ว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ผู้นำท่านออกจากแผ่นดินอียิปต์ให้พ้นจากการเป็นทาส ท่านต้องไม่มีมีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา” (อพย 20:1-3)
ได้บอกกับพี่สาวท่านนั้นเป็นบทสรุปอีกว่า เวลานี้หัวใจของเราห่างจากพระมากไปหน่อย เราให้ใจเราเป็นพระเจ้าแทนพระองค์ ใจเรายิ่งจะแข็งกระด้างอย่างที่ดินขาดน้ำและแข็งกระด้างแตกระแหง
เราเริ่มดึงหัวใจของเราให้กลับมายอมรับพระองค์เป็นพระเจ้าหนึ่งเดียวของเรา โดยขั้นแรกนั้นเราคุมจิตของเรากำหนดเป็นครั้งๆและพยายามทำให้ได้ พลาดไปก็เริ่มอีก ขั้นสองต่อมาเมื่อพอทำได้บ้างแล้วและคุ้นเคยแล้วเราก็เพิ่มดวงตาให้ดวงใจที่จะมองหาผู้ที่เราจะมอบรักไม่ใช่แค่ให้อภัย จนที่สุด…โดยไม่รู้ตัว รู้สึกตัวอีกครั้งเราก็มีความสุขที่จะรักและพร้อมที่จะมอบมิตรภาพความรักให้กับทุกคนได้
เราเป็นอิสระแล้ว เราปลดล็อกออกจากการเป็นทาสแล้ว และเราพบว่าเรามีพระเป็นเจ้าเป็นผู้นำชีวิตของเราอย่างแท้จริง เรามีรักให้ผู้อื่นดังเช่นองค์พระเยซูคริสตเจ้าของเรา.