การกลับคืนชีพของคริสตชน คือการออกจากอุโมงค์ฝังศพส่วนตัว
สัญลักษณ์ของการกลับคืนชีพ ของพระเยซูเจ้าก็คือ ทุกคนที่ไปที่หลุมศพและไม่พบพระองค์ แต่กลับไปพบพระองค์ในสถานที่ต่างๆ ต่างกรรมต่างวาระ
มาระโก บทที่ 16 ข้อ 9-15 บันทึกไว้ว่า พระองค์แสดงพระองค์แก่มารีย์ชาวมักดาลาเป็นคนแรก
จากนั้นพระองค์แสดงพระองค์แก่ศิษย์สองคนที่กำลังเดินทางไปชนบท
ที่สุดพระองค์ก็แสดงพระองค์แก่สาวก 11 คน ขณะกำลังกินอาหาร
พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ โดยการเสด็จออกจากอุโมงค์ฝังพระศพ และทรงเป็นอิสระจากอุโมงค์ฝังศพแห่งนั้น และในการแสดงพระองค์แก่บุคคลทั้งหลาย พระองค์ก็ทรงกระทำแค่การปรากฏพระองค์ให้เห็น และพระวรสารวันนี้บันทึกว่า ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกัน ปิดอยู่ แต่พระองค์ทรงเสด็จ เข้ามาโดยที่ประตูยังคงปิดอยู่ พระเยซูเจ้าทรงเป็นอิสระจากความจำกัดของเวลาและสถานที่ (space and time)
การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าต้องสอนให้เราคริสตชนรู้จักกลับคืนชีพในลักษณะเดียวกัน คือ ถ้าคริสตชนกลับคืนชีพแท้จริง ชีวิตคริสตชนต้องเป็นอิสระ เป็นต้นเป็นอิสระจาอุโมงค์ฝังศพ และ เป็นอิสระจากความจำกัดของเวลาและสถานที่
อุโมงค์ฝังศพของเราแต่ละคนก็คือ ตัวตนและชีวิตของเราเอง
ตัวตนและชีวิตของเราแต่ละคนที่เต็มไปด้วย 2 สิ่งสำคัญคือ
ความอยาก และ
ความไม่อยาก
ความอยากและความไม่อยาก เกาะกุมชีวิตของเรา แต่ละคน นอกนั้นมันยังจำกัดชีวิตของเราให้อยู่กับความอยากและความไม่อยากนั้น จนกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ ความอยากและความไม่อยากดังกล่าว ถูกบงการด้วยน้ำใจของตัวเราเอง และน้ำใจที่ไม่เป็นอิสระทำให้ชีวิตกลายเป็นอัมพาต
เราอยากเด่น อยากดัง
เราอยากมีชื่อเสียเป็นที่นับหน้าถือตามของคนทั่วไป
เราอยากมีเงินทองใช้อย่างไม่ขาดมือ
เราอยากมีชีวิตที่สะดวกสบาย
เราอยากมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแก่บุคคลทั่วไป
เราอยากให้ทุกคนเคารพนับถือเรา
ฯลฯ
เราไม่อยากให้ใครดูถูกเหยียดหยามเรา
เราไม่อยากจน และไม่อยากสูญเสียสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ
เราไม่อยากให้ใครหมิ่นประมาทเรา
เราไม่อยากเผชิญกับความเจ็บปวดเดือดร้อนทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต
และเราก็ไม่อยากสิ่งอื่นๆ อีกหลายร้อยหลายพันไม่อยาก
และเวลาที่มนุษย์มีความอยาก หรือ ความไม่อยาก เราก็จะดิ้น เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่อยาก หรือ ให้ทุกหลุดพ้นจากสิ่งที่ไม่อยากนั้น
ความอยากและความไม่อยากนี้แผลงฤทธิ์มาแล้วโดยทำให้ อาดัม และเอวา รวมทั้งมนุษยชาติประสบหายนะ
มนุษย์เราถูก ฝังลึก ลงไปในความอยากและความไม่อยากนี้ ประหนึ่ง หลุมฝังศพ และถ้าเราดิ้นไม่หลุดจากความอยากและความไม่อยากนี้ หลุมศพของเราจะยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ
พระเยซูเจ้าทรงมีประสบการณ์ความอยากและความไม่อยากเช่นเดียวกับเราทุกคน แต่พระองค์ก็ทรงเอาชนะความอยากและความไม่อยากนี้ได้ในที่สุด
“พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นไปได้ (อยาก) ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด (ไม่อยากรับ) ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” (มัทธิว 26:39)
พระองค์ทรงเอาชนะความอยากและความไม่อยากนี้ด้วย ไม้กางเขน () แห่งการตัดใจ โดยยอมตัดน้ำใจของพระองค์เอง ด้วยการยอมปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา
พระเยซูเจ้ายอมให้พระประสงค์ของพระบิดาตัดน้ำใจของพระองค์เอง ทำให้ชีวิตของพระองค์เดินทางต่อไปสู่ภูเขากัลวารีโอ และที่สุดก็ทำให้แผนการไถ่กู้มนุษยชาติบรรลุผลสำเร็จ กางเขนแห่งการตัดใจนี้ ยังพาพระเยซูเจ้าไปสู้ชัยชนะแห่งการกลับคืนพระชนม์ชีพอีกด้วย
น้ำพระทัยของพระบิดาที่เต็มเปี่ยมในชีวิตของพระเยซูเจ้า พาพระองค์ไปสู่การกลับมามีชีวิตใหม่
ดังนั้นคริสตชนต้องกลับคืนชีพในลักษณะเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
เราต้องทำตัวเราเองให้หลุดจากความอยากและไม่อยากทั้งปวง โดยยอมให้น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าเป็นตัวกำหนด แต่ถ้าเราปล่อยตัวเอง ให้ความอยากและความไม่อยากครอบงำชีวิตนั้น ก็แสดงว่าเรายังคงอยู่ในอุโมงค์แห่งความตาย คือ อุโมงค์แห่งความอยากและความไม่อยากของตัวเราเอง และถ้าเรายิ่งดำเนินชีวิตตามความอยากและความไม่อยากนั้น เราก็ยิ่งฝังตัวเองลึกลงไปเรื่อยๆในความตายนั้น
แต่ถ้าเราต่อสู้ ควบคุม และตัดความอยากและไม่อยาก จนตัวเราเป็นอิสระจากความอยากและไม่อยากได้แล้ว เราก็จะกลายเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่จะสามารถทำงานให้พระ โดยชีวิตของเราจะไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ คือเราจะเป็นอิสระจากทุกสิ่ง จนสามารถทำงานให้พระได้อย่างบังเกิดผล