จงรู้จักวางทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า
บทอ่านที่ 1 จากหนังสือโยบในวันนี้ อ่านแล้วเข้าใจยากสักหน่อย นอกจากเราจะกลับไปอ่านหนังสือของโยบย้อนหลังไปในสัปดาห์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2558 คือเมื่อต้นปีนี้เอง
บทอ่านของโยบในวันนั้น เป็นเสียงบ่นของคนๆหนึ่งที่มีชื่อว่าโยบ โยบบ่นถึงชีวิตที่ต้องทนทุกข์ทรมานจาการที่ต้องเผชิญกับปัญหาของชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน โยบพยายามดำเนินชีวิตที่ดี พยายามเป็นคนดี แต่ก็ต้องเผชิญชะตากรรมอย่างชนิดที่ไม่รู้สาเหตุ ความทุกข์ความเจ็บป่วยฝ่ายร่างกาย การสูญเสียบุคคลที่ตนรัก และหวงแหน รวมทั้งสูญเสียทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ โยบตั้งปัญหาถามพระเป็นเจ้าว่าทำไมจึงเป็นอย่างนี้? ทำไมจึงทำดีแล้วไม่ได้ดี? ทำไมทำดีแล้วจึงไม่มีความสุข กลับมีแต่ความทุกข์? เลยพาลพะโลอยากจะตายเสียให้มันจบๆไป
เพื่อนของโยบหลายคนทำท่าหวังดี ปลอบประโลมใจโยบ หวังจะช่วยให้คลายความทุกข์ พวกเขาพยายามปลอบใจโยบ ให้ทำใจเย็นๆ พวกเขาพยายามบอกกับโยบให้ตั้งสติและคิดให้ดีๆ โดยบอกว่า ทุกข์เวทนาที่โยบต้องประสบนี้มันต้องมีสาเหตุ ขอให้โยบตั้งสติและคิดทบทวนชีวิตให้ดีๆ โยบอาจจะกระทำความผิดบาปอะไรสักอย่างโดยที่ไม่รู้ตัว ดังนั้นกรรมจึงตามทัน นั่นคือวิธีคิดของมนุษย์ คือ มันต้องมีเหตุ ดังนั้น มันจึงเป็นอย่างนี้
บทอ่านวันนี้ พระเป็นเจ้าตอบคำถามของโยบแต่พระองค์ ไม่ได้ตอบอย่างชัดเจนว่า อะไร? ทำไม? หรืออย่างไร? พระองค์ไม่ได้ตอบถึงต้นเหตุ ของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโยบ แต่ทรงตอบแบบให้คิดว่า “ทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นพระองค์ทรงรับรู้” แต่จะทรงจัดการอย่างไรนั้นพระองค์ไม่ได้ให้คำตอบ
สิ่งที่อยู่ในบทอ่านที่ 1 จากหนังสือโยบในวันนี้ให้คำตอบแก่เรา และแก่โยบเพียงอย่างเดียวว่า “พระเป็นเจ้าทรงมีแผนการ และทรงมีพระประสงค์ ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แต่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ และอย่างนั้น มนุษย์ผู้รู้ตายและด้อยปัญญาอย่างเราๆ ไม่สามารถ ที่จะหยั่งรู้แผนการ และพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าได้ อีกทั้ง เรามนุษย์ก็ไม่ควรจะพยายามตีความ หรือแปลความหมาย เพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นั้น”
“จงปล่อยทุกอย่างให้ดำเนินไป เพียงแต่เราต้องรู้จักวางตัว อย่างเหมาะสม รวมทั้งขอพระเป็นเจ้าช่วยให้เรารู้จักวางตัวอย่างเหมาะสม กับแต่ละสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบๆตัวเรา” เท่านั้นเป็นพอ
มนุษย์ยุคปัจจุบันชอบตีความชอบแปลความหมายของสิ่งต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวเราว่า มันเป็นอย่างนี้เพราะอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นเพราะสาเหตุนี้ คือมนุษย์ชอบทำตัวเป็นผู้รอบรู้ด้วยการพยายามตีความ และแสดงภูมิรู้ของตนเอง
พูดสั้นๆก็คือ มนุษย์จงอย่าพยายามอวดรู้ด้วยการพยายามตีความ และแปลความหมายของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการจัดการของพระเป็นเจ้า
และถ้าเราจะค่อยๆอ่านหนังสือโยบตั้งแต่บทที่ 38 ถึง บทที่ 41 เราจะพบคำตอบของพระเป็นเจ้าที่ให้แก่โยบในหลายๆเรื่อง และคำตอบของพระองค์จะอยู่ในแนวที่กล่าวไว้ข้างบน นอกนั้นพระเป็นเจ้ายังตำหนิเพื่อนๆของโยบ 3 คน ที่ทำตัวเป็นผู้อวดรู้อีกด้วย
มนุษย์ปัจจุบันจำนวนไม่น้อย และบางทีก็เป็นตัวเราเองด้วยที่ชอบอวดรู้ไปเสียทุกเรื่อง ชอบแสดงความคิดความเห็น ทั้งๆที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอย่างละเอียดถี่ถ้วนของอะไรต่อมิอะไรที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวเรา สิ่งที่มนุษย์ควรทำก็คือ เราจะต้องรู้จักถ่อมตนยอมรับพระปรีชาญาณของพระผู้สร้าง ในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวเราอย่าตีความ อย่าอวดรู้ แม้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวเราในสายตาของมนุษย์ทั่วๆไป เป็นความเลวร้าย แต่จงวางทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า และปล่อยพระองค์ให้จัดการ เชิญเราฟังเสียงตำหนิขอพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ ขณะเกิดพายุ บรรดาอัครสาวกต่อว่าพระเยซูเจ้าว่าพระองค์ทรงทำเพิกเฉย นอนหลับขณะเกิดพายุ จนพระองค์ต้องลุกขึ้นมาตำหนิว่า “ตกใจกลัวเช่นนี้ทำไม ท่านยังไม่มีความเชื่อหรือ”