อย่าเป็นคริสตชนแต่ชื่อ
โป๊ปรีพอร์ตได้นำเสนอบทเทศน์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ในมิสซาเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ ซึ่งในมิสซานั้นพระวรสารเป็นเรื่องเกี่ยวกับลาซารัส สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ในบทเทศน์ของพระองค์ได้ตั้งคำถามแก่บรรดาคริสตชนว่า “เราเป็นคริสตชนแต่ชื่อหรือเปล่า?”
และพระองค์ได้ทรงอธิบายต่อไปว่า คริสตชนแท้จะต้องให้ความสนใจต่อบุคคลยากไร้ และคนชายขอบ
“เราเป็นคริสตชนแต่ชื่อหรือเปล่า?” เป็นคำถามสำคัญที่เราควรจะนำมาขบคิด และพิจารณา เกี่ยวกับตัวของเราเองและชีวิตคริสตชนของเรา
ชีวิตคริสตชนของเรา ถูกมอบให้แก่เราในวันที่เรารับศีลล้างบาป พูดให้ชัดกว่านั้นก็คือ ชีวิตของพระเยซูเจ้าถูกมอบให้แก่เราในวันที่เราได้รับศีลล้างบาป จากวันนั้นเราจะต้องแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงประทับอยู่ในตัวของเราจริงๆ ด้วยการค่อยๆเจริญเติบโตในชีวิตคริสตชนที่ดี ด้วยการอบรมสั่งสอนและตัวอย่างชีวิตที่ดีของพ่อแม่และญาติพี่น้อง
ลูกจะเติบโตขึ้นมาเป็นคริสตชนที่ดีและฉายแสงชีวิตของพระเยซูเจ้าออกมาปรากฏให้เห็นภายนอก ประการที่หนึ่งและสำคัญก็คือ ด้วยการอบรมสั่งสอนและตัวอย่างชีวิตที่ดีของบุคคลรอบข้าง
และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วการประคับประคองชีวิตคริสตชน หรือ ชีวิตพระเยซูที่มีอยู่ในตัวเองให้ฉายแสงจ้าอยู่ตลอดเวลาก็เป็นหน้าที่ของตัวผู้เติบโตเองที่จะต้องไม่ปล่อยตัวให้หลงติดอยู่กับกระแสและวิถีของโลก คือไม่ปล่อยตัวให้ชีวิตเขาไปผูกพันอยู่กับทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ชื่อเสียง และอำนาจ จนทำให้สิ่งเหล่านี้บดบัง หรือทำให้แสงชีวิตของพระเยซูเจ้าในตัว ริบหรี่ หรือ ขมุกขมัวลงไป ดังการกระทำของลูกล้างผลาญในพระวรสารวันนี้
การรักษาแสงสว่างแห่งชีวิตของพระเยซูเจ้าให้ยังคงสุกใสอยู่ตลอดเวลา จะสามารถกระทำได้โดยอาศัยคำแนะนำของนักบุญเปาโลในจดหมายของท่านในวันนี้
“ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่”
การอยู่ในพระคริสตเจ้าหรือการให้พระคริสตเจ้าอยู่ในตัวของเราตลอดเวลา จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจรับพระองค์อยู่ตลอดเวลา และตัวบ่งชี้ที่สำคัญก็คือ ไม่ว่าพระเยซูเจ้าจะสอนอะไร คำสอนเหล่านั้นจะปรากฏให้เห็นในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้นั้น
“ดูเถิดเรากำลังยืนเคาะประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขาเขาจะกินอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20)
ประตูที่พระเยซูพูดถึงนี้ก็คือ ประตูหัวใจของเรา เราต้องเปิดประตูหัวใจของเรา เพื่อรับฟังเสียงของพระเยซูเจ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น และนั่นคือ ความหมายของ 24 ชั่วโมงกับพระเยซู หรือ 24 ชั่วโมงเพื่อพระเยซู เราจะทำทุกอย่างที่พระเยซูสอนตลอดเวลาคือ ตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดชีวิตของเรา
การกระทำดังกล่าว คือ การฟังพระเยซูเจ้าอยู่ตลอดเวลา(ตลอด 24 ชั่วโมง) และการทำตามที่พระองค์บอกอยู่ตลอดเวลา(ตลอด 24 ชั่วโมง) การทำอย่างนี้จะทำให้เรามีชีวิต “อยู่ในพระคริสตเจ้า” ซึ่งจะทำให้เรากลายเป็น “สิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว” และนั่นจะไม่ทำให้เรา “เป็นคริสตชนแต่ชื่อ” แต่เป็น “คริสตชนในเนื้อแท้” คือมีชีวิตพระเยซูเจ้าและฉายแสงชีวิตพระเยซูเจ้าออกมาให้ผู้อื่นสัมผัสตลอดเวลา