การตายและการกลับคืนชีพ 2 มิติที่จะต้องเกิดขึ้นบนโลกนี้ก่อนตายจริง
เรากำลังอยู่ในบรรยากาศของการเฉลิมฉลองรำลึกถึง การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าในเทศกาลปัสกา
บทอ่านที่ 1 จากหนังสือกิจการอัครสาวกพูดถึงการเทศน์สอนของบรรดาอัครสาวก ซึ่งเป็นการเทศน์สอนหลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ไปแล้ว และบรรดาอัครสาวกได้รับพระจิตเจ้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกท่านได้รับการเปลี่ยนแปลงจากองค์พระจิตเจ้า และเริ่มต้นออกทำงานภายใต้การนำของพระองค์และสิ่งที่พวกท่านเทศน์สอนก็คือ “พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์และได้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ”
ส่วนในหนังสือวิวรณ์ ยอห์นได้รับนิมิตขององค์พระคริสตเจ้า ผู้ทรงตรัสกับท่านในนิมิตนั้นว่า “…เราเป็นผู้มีชีวิต เราตายไปแล้ว แต่บัดนี้เรามีชีวิตอยู่ตลอดนิรันดร”
ในพระวรสารนักบุญยอห์น ก็พูดถึงการประจักษ์มาของพระเยซูคริสตเจ้าแก่บรรดาอัครสาวก เป็นการประจักษ์หลังจากความตายของพระองค์บนไม้กางเขน เพื่อเน้นให้บรรดาอัครสาวกมั่นใจว่า พระองค์ได้กลับคืนชีพแล้วจริงๆ การที่พระองค์ให้โทมัสสัมผัสที่รอยตะปู และรอยแทงที่สีข้างของพระองค์ ก็เพื่อให้โทมัสเกิดความมั่นใจว่า รอยตะปูและแผลที่สีข้าง เป็นร่องรอยของความตาย ซึ่งได้คร่าชีวิตของพระองค์ และบัดนี้ พระองค์ได้ทรงเอาชนะความตาย โดยกลับมีชีวิตใหม่แล้ว ซึ่งเป็นชีวิตที่จะคงอยู่ตลอดนิรันดร
ทั้ง 3 บทอ่านเน้นให้เราเข้าใจและยอมรับว่า ความตายและการกลับคืนชีพเป็น 2 สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นบนโลกนี้
ความตายในความหมายของพระคัมภีร์ไม่ใช่การหมดลมหายใจ แต่มีความหมายทางจิตวิญญาณของชีวิตที่ตัดขาดจากโลก ส่วนการกลับคืนชีพก็หมายถึง บุคคลที่มีชีวิตที่ตัดขาดจากโลกแล้ว และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าจนทำให้ชีวิตนั้นเกิดความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระเป็นเจ้า และทั้ง 2 มิตินี้จะต้องเกิดกับชีวิตของเราแต่ละคนก่อนที่เราจะหมดลมหายใจตายจากโลกนี้ไป
แม้ว่าการกลับคืนชีพมีชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าบนโลกนี้จะยังไม่สมบูรณ์ 100% เนื่องจากความเป็นมนุษย์ของเรา จึงทำให้บางครั้งเกิดความพลาดพลั้งตกในบาปบ้าง แต่ก็รีบลุกขึ้นแก้ไขความบาป และความผิดพลาดเหล่านั้น ก็ถือ ได้ว่าผู้นั้นอยู่บนเส้นทางแห่งการกลับคืนชีพมีชีวิตใหม่แล้ว
บุคคลซึ่งเป็นตัวอย่างของคนตายที่กลับคืนชีพในโลก มีให้เราได้ศึกษาเรียนรู้มากมายในพระศาสนจักรและบุคคลที่เราต้องเรียนรู้จากท่านเป็นพิเศษ ก็คือ ท่านนักบุญเปาโล
พระเยซูเจ้าตบหน้าท่านอย่างแรง ขณะกำลังเดินทางไปเมืองดามัสกัสเพื่อไปฆ่าคริสตชน ท่านล้มลงตามืดบอดอยู่พักใหญ่ จากนั้นท่านก็ค่อยๆสำนึกตัว และเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชีวิต ท่านพยายามตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเคยผูกพันออกไปจากชีวิตของท่าน ท่านเริ่มต้นเดินทางแห่งไม้กางเขน (VIA CRUCIS) และชีวิตของท่านก็เริ่มสนิทสัมพันธ์กับองค์พระเยซูคริสตเจ้าทีละเล็กทีละน้อย(กลับคืนชีพมีชีวิตใหม่)
อยากจะขอยกสิ่งที่ท่านเขียนไว้ในท้ายจดหมายของท่านซึ่งเป็นจดหมายถึงชาวกาลาเทีย เราจะได้เห็นความพยายามของท่านเปาโล และเป็นตัวอย่างที่เราต้องนำไปปฏิบัติเช่นกัน
กาลาเทีย บทที่ 6 ข้อ 11-18
“จงดูเถิด ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายเป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ด้วยมือของข้าพเจ้า ผู้ที่ปรารถนาคำยกย่องสรรเสริญตามธรรมชาติย่อมบังคับท่านให้เข้าสุหนัต เพียงเพื่อเขาเหล่านั้นจะไม่ต้องถูกเบียดเบียนเพราะไม้กางเขนของพระคริสตเจ้า ผู้ที่เข้าสุหนัตก็ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ แต่พวกเขาต้องการให้ท่านเข้าสุหนัตเพียงเพื่อโอ้อวดที่ทำให้ท่านเข้าสุหนัตได้ ส่วนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่โอ้อวดสิ่งใดนอกจากเรื่องไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อาศัยไม้กางเขนนี้โลกถูกตรึงตายไปจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ถูกตรึงตายไปจากโลกแล้ว ดังนั้น การเข้าสุหนัตหรือการไม่เข้าสุหนัตจึงไม่มีความสำคัญแต่ประการใด สิ่งที่สำคัญก็คือการเป็นสิ่งสร้างใหม่ สันติและพระเมตตาจงมีแด่ทุกคนที่ปฏิบัติตามกฎข้อนี้ และแด่ประชากรแท้จริงของพระเจ้า นับแต่บัดนี้ อย่าให้ใครมารบกวนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซูเจ้าอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้าแล้ว พี่น้อง ขอให้พระหรรษทานของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราสถิตอยู่ในจิตใจของท่านทั้งหลายเทอญ อาเมน”