ข้อคิด…ครั้งแรกที่พระเยซูเจ้าทรงประทานพระจิตเจ้าให้กับบรรดาอัครสาวก เกิดขึ้นในเวลาเย็นวันอาทิตย์ปัสกา (ยน 20: 21-23)…การเป่าลมเหนือพวกอัครสาวก เป็นสัญลักษณ์ของการรับพระจิตเจ้า พระองค์ซึ่งเป็นหลักการของสิ่งสร้างใหม่ นอกจากนั้นการรับพระจิต ก็ยังหมายถึงการรับพระพรของพระองค์และการส่งบรรดาอัครสาวกและศิษย์ของพระเยซูเจ้าออกไปเทศน์สอนให้กับนานาชาติ ตามที่พระเยซูเจ้าได้ทรงมีพระบัญชาไว้…
…เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเจริญชีวิตคริสตชนได้โดยปราศจากพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ เราจะซาบซึ้งถึงบทบาทของพระจิตในชีวิตคริสตชนได้นั้น เราต้องเริ่มจากพระเยซูเจ้า แม้องค์พระเยซูเจ้าเองก็จำเป็นต้องมีพระจิต พระจิตเจ้าทรงมีบทบาทที่สำคัญในชีวิตของพระองค์ และพระจิตเสด็จลงมาอยู่เหนือพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงรับพิธีล้าง ทั้งยังได้ประกาศว่าพระองค์เป็นพระบุตรสุดที่รักของพระบิดาเจ้า
ในขณะที่พระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างนั้น พระองค์ทรงรับอำนาจจากเบื้องบนในการเริ่มพันธกิจของพระองค์…พระจิตเจ้ามิได้ถูกมอบให้พระองค์เพียงชั่วขณะ แต่พระจิตยังคงประทับอยู่กับพระองค์ตลอดพันธกิจของพระองค์ พระเยซูเจ้ายังคงให้พระจิตทรงนำทางและประทานความเข้มแข็ง ให้กับพระองค์อย่างต่อเนื่อง
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มพันธกิจของพระองค์ ด้วยการทำให้ถ้อยคำของประกาศกอิสยาห์เป็นของพระองค์เอง…“พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากคนจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า”
ช่างเป็นพันธกิจที่งดงาม และพระองค์ทรงกระทำตามด้วยความซื่อสัตย์…พระเยซูเจ้าทรงเปี่ยมด้วยพระจิตซึ่งทำให้พระอานุภาพออกจากพระองค์โดยทางพระวาจาแห่งความเมตตาและโดยการกระทำด้วยความเมตตาสงสาร
เป็นพระจิตเจ้าที่ทรงปลุกพระเยซูเจ้าให้ฟื้นคืนชีพจากความตาย และทรงเป็นพระจิตเจ้าองค์เดียวกันที่เปิดจิตใจของบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้า และทรงช่วยพวกเขาให้เข้าใจถึงความหมายของการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเสด็จสู่สวรรค์ในพระสิริรุ่งโรจน์และประทับเบื้องขวาของพระบิดา พระเยซูเจ้าทรงประทานพระจิตลงเหนือบรรดาผู้ที่จะต้องสานต่อพันธกิจของพระองค์ พระจิตเจ้าเสด็จลงมาเหนือบรรดาอัครสาวก ทั้งที่เป็นส่วนบุคคลและโดยส่วนรวม เมื่อพวกเขาเปี่ยมด้วยพระจิตเจ้าแล้ว พวกเขาจึงเริ่มพันธกิจที่ได้รับมอบหมายจากองค์พระอาจารย์เจ้า และเราได้เห็นว่าพวกเขาประกาศข่าวดีของพระอาจารย์เจ้าของพวกเขาและกระทำการต่างๆด้วยความกล้าหาญและอย่างมั่นใจโดยอาศัยองค์พระจิตเจ้า
และเป็นพระจิตเจ้าองค์เดียวกันนี้ที่เราได้รับเมื่อเรารับศีลล้างบาปและศีลกำลัง พระจิตที่เรารับ มิใช่อยู่กับเราเพียงชั่วขณะ แต่ทรงอยู่และเดินไปพร้อมๆกับเราตลอดการเดินทางแห่งชีวิตของเราตามรอยพระบาทของพระเยซูเจ้า พระจิตเจ้าทรงประทานพละกำลังให้เรามีส่วนร่วมในงานของพระเยซูเจ้า พระจิตเจ้าทรงเป็นพละกำลังในยามที่เรามีความอ่อนแอ ทรงแนะนำเราเมื่อเรามีความสงสัย ทรงบรรเทาใจเราเมื่อเรามีความโศกเศร้าและทรงวอนขอแทนเราเมื่อเราต้องการการแก้ต่าง เราไม่สามารถก้าวเดินไปเองได้แม้แต่ก้าวเดียวโดยปราศจากพระจิตเจ้า
พระพรของพระจิตเจ้า คือ พระดำริ สติปัญญา ความคิดอ่าน พละกำลัง ความรู้ ความศรัทธาและความยำเกรงพระเจ้า
พระดำริ สติปัญญาและความคิดอ่าน จะช่วยนำทางจิตใจของเราและช่วยเหลือมโนธรรมของเราในการแยกแยะว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด…พละกำลัง จะช่วยเราให้กระทำสิ่งที่ถูกต้องแม้สิ่งนั้นจะยากลำบาก หรือไม่เป็นที่ชื่นชอบ…ความยำเกรงพระเจ้า จะช่วยทำให้เรามีความยำเกรงพระเจ้าอย่างแท้จริง
นักบุญเปาโลกล่าวว่าผลลัพธ์ของพระจิตเจ้าคือความรัก ความชื่นชมยินดี ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยนและการรู้จักควบคุมตนเอง…คุณธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งงดงามและทำให้ชีวิตมีความชื่นชมยินดี (กท 5: 22)
ในเวลาเดียวกันนักบุญเปาโลบอกเราว่าการกระทำตามใจตามความปรารถนาของตนเอง ทำให้เกิดความโกรธเคือง การทะเลาะวิวาท ความอิจฉาริษยา การแบ่งพรรคแบ่งพวก การกราบไหว้รูปบูชา การผิดประเวณีและการเมามาย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเกลียดและทำให้ชีวิตน่าอนาถ ยิ่งเราปฏิเสธตนเองมากเท่าใดและ “เดินอยู่ในหนทางของพระจิตเจ้า” ยิ่งจะก่อให้เกิดผลดีแก่ชีวิตเรามากขึ้นเท่านั้น
พระจิตเจ้าที่เราได้รับ ไม่ใช่พระจิตแห่งความขี้ขลาดกลัว แต่เป็นพระจิตแห่งพละกำลัง…ลมและไฟ(ความร้อน) เป็นสัญลักษณ์ของพละกำลัง ลมมีพละกำลังในการทำให้สิ่งต่างๆเคลื่อนที่ไป ถอนรากขึ้น ส่วนไฟนั้นมีพละกำลังในการปรับแต่งและเปลี่ยนแปลง…สัญลักษณ์ของพละกำลังเหล่านี้คือพละกำลังของพระจิตเจ้า การเสด็จมาของพระจิตเจ้า ทำให้บรรดาอัครสาวกมีพลัง มีความกล้าหาญและมีความรัก ที่จะทำงานที่พระคริสตเจ้าทรงมอบให้พวกเขา
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์