ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา ปี C
“ลก 7:36–8:3…บาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้ว เพราะนางมีความรักมาก…ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อย ก็ย่อมมีความรักน้อย…”
ข้อคิด…กษัตริย์ดาวิดได้ทำบาปผิดร้ายแรง โดยได้วางแผนฆ่าอูรียาห์ นายทหารของพระองค์เอง เพื่อจะเอาภรรยาของเขามาเป็นภรรยาของตน ซึ่งเป็นการกระทำสิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์ของพระยาห์เวห์ และเป็นการลบหลู่พระเจ้า เพราะพระเจ้าได้ทรงโปรดปรานพระองค์อย่างมาก กษัตริย์ดาวิดจะรู้สึกสำนึกในความบาปผิดนี้ ก็ต่อเมื่อพระองค์จะได้เผชิญหน้ากับประกาศกนาทันซึ่งได้ชี้แจงความร้ายแรงของบาปที่พระองค์ได้กระทำผิดต่อพระเจ้า ให้พระองค์ได้รับรู้ และทันทีพระองค์ก็ได้ทรงยอมรับผิดและได้เป็นทุกข์กลับใจ
พระวรสารของนักบุญลูกาเริ่มด้วยพระเยซูเจ้าไปร่วมรับประทานอาหารที่บ้านของชาวฟาริสีคนหนึ่ง…ที่พระเยซูเจ้าทรงยอมรับคำเชื้อเชิญนี้ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเปิดกว้างที่จะยอมรับคนคิดต่าง เชื่อต่าง ใช้ชีวิตต่าง ฯลฯ
โดยไม่มีการพูดถึงการทักทายระหว่างเจ้าของบ้านและแขกผู้รับเชิญ…นักบุญลูกาทันทีก็ได้นำผู้อ่านผู้ฟังเข้าสู่ฉากที่คาดไม่ถึง คือหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองว่านางเป็นหญิงคนบาป ได้เข้ามาในบ้าน ตรงเข้าไปหาพระเยซูเจ้าโดยไม่ลังเลและไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น เพื่อที่จะทำสิ่งที่นางต้องการ…”นางถือขวดหินขาวบรรจุน้ำหอมเข้ามาด้วย นางมาอยู่ด้านหลังของพระองค์ใกล้ๆพระบาท ร้องไห้จนน้ำตาหยดลงเปียกพระบาท นางใช้ผมเช็ดพระบาท จูบพระบาทและใช้น้ำมันหอมชโลมพระบาท”…ซีมอน ชาวฟาริสีเจ้าภาพได้แต่มองดูห่างๆ…นี่เป็นวิธีการที่นักบุญลูกานำเสนอภาพของพระเยซูเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็น “เพื่อนของคนบาป” ซึ่งเป็นวิธีที่นักบุญลูกาชอบมากในการนำเสนอภาพของพระองค์…ซีมอน ชาวฟาริสี รู้สึกตกใจมากๆ เมื่อเห็นพระเยซูเจ้าอนุญาตให้คนบาป มิใช่เพียงแต่ให้เข้าใกล้พระองค์ แต่ยังให้สัมผัสพระองค์อีกด้วย เขาคิดว่าพระเยซูเจ้าคงจะไม่รู้ว่าหญิงคนนี้เป็นคนแบบไหน เพราะมิฉะนั้น พระองค์คงจะไม่ยอมให้หญิงคนนั้นเข้ามาแตะต้องพระองค์เป็นแน่แท้ เพราะจะเป็นการทำให้พระองค์เอง เป็นบุคคลไม่สะอาดทางพิธีจารีตประเพณีของชาวยิว ดังนั้นเขาจึงได้ทำการสรุปว่าพระองค์ไม่น่าจะเป็นประกาศกที่หลายๆคนเชื่อและนับถือพระองค์
นักบุญลูกาได้นำเสนอภาพสองภาพที่ขัดแย้งกัน คือ การต้อนรับพระเยซูเจ้าที่เย็นชาของซีมอนฟาริสี กับการต้อนรับพระเยซูเจ้าที่แสนจะอบอุ่นของหญิงคนบาปคนนั้น สิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวกับซีมอน คือหญิงคนนี้ แม้ว่าจะมีอดีตที่เป็นคนบาป แต่ก็อยู่ใกล้พระเจ้ามากกว่าตัวเขาเสียอีก
ได้มีข้อโต้เถียงกันว่าหญิงคนบาปคนนั้นได้รับการอภัย เพราะว่านางได้รักมาก หรือว่าที่นางรักมาก เพราะว่านางได้รับการอภัยแล้ว หรือพูดง่ายๆก็คือว่านางรักพระเยซูเจ้าก่อนหรือหลังจากที่พระองค์ได้ทรงให้อภัยนางแล้ว
เราจะแลเห็นว่ามีการมองหญิงคนบาปคนนั้นออกมาเป็นสองภาพที่ไม่เหมือนกัน คือซีมอนฟาริสีมองหญิงนั้นว่าเป็นหญิงคนบาป ไม่สมควรจะให้มาแตะต้องถูกตัว ส่วนพระเยซูเจ้ากลับมองหญิงนั้นว่าเป็นคนที่มีบาดแผลเพราะบาป สมควรจะต้องได้รับการเยียวยารักษา พระองค์มองดูหญิงคนนี้ว่านางได้ถูกไต่สวนลงโทษไปแล้วจากชีวิตของนางเอง สิ่งที่นางต้องการในขณะนี้ก็คือ การเยียวยา มิใช่การลงโทษ
ด้วยการปฏิบัติต่อนางด้วยความเมตตาสงสาร พระเยซูเจ้าได้ทรงช่วยนางให้มีความเชื่อมั่นว่านางก็มีอะไรดีอยู่ในตัวของนางเองเหมือนกัน แต่ถ้าพระเยซูเจ้าจะได้ปฏิบัติต่อนางด้วยความรู้สึกที่ต่อต้านและรังเกียจ ก็จะเท่ากับว่าพระองค์กำลังส่งนางไปสู่ความมืด ความไม่มีอนาคตอีกคำรบหนึ่งเป็นแน่แท้…เราจะไม่มีวันทำให้เพื่อนมนุษย์ดีขึ้น ถ้าหากว่าเราปฏิเสธไม่ยอมรับเขา…คุณงามความดีที่จริงใจของพระเยซูเจ้า ได้ทำให้นางรู้สึกว่ายังมีบางคนที่เห็นใจนางและยังเชื่อว่านางก็เป็นคนดีเหมือนกัน ซึ่งทำให้นางรู้สึกว่าอยากจะเป็นเหมือนพระองค์
มีหลายๆคนในสังคมของพวกเรา ที่ไม่ยอมรับว่าคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ คนพวกนี้จะไม่ยอมให้โอกาสอีกครั้งหนึ่งแก่คนอื่น เราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ที่จะมองผู้อื่นในแง่ดีบ้าง ความผิดของคนเราสามารถได้รับการเยียวยาได้ด้วยการรู้จักรักพวกเขา เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครคนหนึ่งคนใดได้ เว้นแต่ว่าเราจะได้ยอมรับเขาอย่างที่เขาเป็น การกล่าวโทษคนอื่น มิใช่เป็นการช่วยเขาเลย ตรงข้ามกลับเป็นการซ้ำเติมให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น พระเยซูเจ้ามิได้กล่าวโทษหญิงคนนั้น พระองค์ได้เห็นความทุกข์โศก ความเจ็บปวด ความสุภาพ ความกล้าและความรักของนางที่มีต่อพระองค์
หญิงคนบาปคนนี้ไม่เคยได้มีประสบการณ์อะไรอย่างนี้เลยในชีวิตและในความคิดของนาง พระเยซูเจ้าเป็นคนที่ดีที่สุดสำหรับนางเท่าที่นางได้เคยพบเห็นมา นางมิใช่เพียงแต่ได้รับการอภัยจากพระองค์เท่านั้น แต่ยังได้รับความรักที่เปี่ยมด้วยความเมตตาสงสารจากพระองค์อีกด้วย นางกลับไปด้วยความปิติยินดี พร้อมทั้งความตั้งใจที่จะรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์