ข้อคิดสอนใจสมโภชนักบุญเปโตรและเปาโล อัครสาวก
การสมโภชนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก ในวันนี้ เป็นการสมโภชที่เก่าแก่ที่สุดวันหนึ่งของพระศาสนจักร และที่จริงเป็นการสมโภชที่มีมาก่อนการสมโภชพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดหรือวันคริสต์มาสเสียอีก ตั้งแต่ศตวรรษที่สี่แล้วที่ในวันสมโภชนี้มีการถวาย พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณสามมิสซาด้วยกัน คือ ที่มหาวิหารนักบุญเปโตรในนครรัฐวาติกันมิสซาหนึ่ง ที่มหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพงเมือง อีกมิสซาหนึ่ง และมิสซาที่สามที่คาตากอมบ์นักบุญเซบาสเตียน ซึ่งเชื่อ ว่าศพของท่านนักบุญอัครธรรมทูตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่าน คงจะถูกซ่อนไว้ ณ ที่นี้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
นักบุญเปโตร เป็นชาวประมงแห่งเบทไซดา(ลก 5: 3; ยน 1: 44) แต่ว่าต่อมาได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาร์เปอร์นาอุม (มก 1: 21.29) นักบุญอันเดร น้องชายของท่านได้เป็น คนแนะนำให้ท่านติดตามพระเยซูเจ้า (ยน 1: 42) และอาจเป็นนักบุญยอห์น แบปติสต์ ที่ได้เป็นผู้ตระเตรียมจิตใจของท่านสำหรับการพบปะครั้งสำคัญของท่านกับองค์พระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าได้ทรงเปลี่ยนชื่อท่านจากชื่อเดิม “ซีมอน” มาเป็นชื่อใหม่ว่า “เปโตร” (มธ 16: 17-19; ยน 21: 15-17) เพื่อให้ท่านทำหน้าที่เป็นศิลาฐานรากของพระศาสนจักรที่พระองค์จะทรงสถาปนาขึ้นในตัวบุคคลของท่านเอง
นักบุญเปโตร เป็นพยานบุคคลแรกๆที่ได้แลเห็นพระคูหาว่างเปล่าของพระอาจารย์ (ยน 20: 6) และได้รับการประจักษ์มาให้เห็นขององค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ (ลก 23: 34)
หลังจากที่พระเยซูเจ้าได้เสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว ท่านก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำบรรดาคริสตชน (กจ 1: 15; 15: 7) และได้เป็นคนกล่าวสรุปข่าวดีของพระเยซูเจ้า (กจ 2: 14-41) และท่านเองเป็นคนแรกที่ได้แลเห็นความจำเป็นที่จะต้องเปิดพระศาสนจักรของพระเยซูเจ้าไปสู่ พวกคนต่างชาติ (กจ 10-11) ภารกิจด้านวิญญาณที่ท่านได้รับมอบหมาย มิใช่ว่าจะช่วยให้ท่านหมดจากสภาพของความเป็นคนธรรมดาๆหรือจากข้อบกพร่องต่างๆทางอารมณ์ก็หาไม่(ยน 13: 6; 18:10; มธ 14: 29-31) นักบุญเปาโล เองก็มิได้ลังเลใจแต่อย่างใดที่จะพูดจาต่อว่าท่านเวลาที่พบกันที่เมืองอันติโอ๊ค (กจ 15; กท 2: 11-14) เพื่อโน้มน้าวเชิญชวนท่านว่าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามแบบของพวกยิว ในเรื่องนี้รู้สึกว่านักบุญเปโตรยังตัดสินใจช้าและยังถือว่ากลุ่มคริสตชนซึ่งเดิมทีเป็นคนต่างศาสนา ก็ยังด้อยกว่าหรือเป็นรองกลุ่มคริสตชนที่เดิมทีเป็นชาวยิว (กจ 6: 1-2) ต่อเมื่อนักบุญเปโตรได้มาที่กรุงโรมแล้ว เมื่อนั้นแหละท่านจึงจะได้กลายเป็นอัครธรรมทูตของทุ กๆคน และได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างครบถ้วน คือเป็น “ศิลาหัวมุม” ของพระศาสนจักรของพระเยซูเจ้า โดยรวมชาวยิวและคนต่างศาสนาให้เข้ามาอยู่ภายในร่างกายเดียวกัน คือในพระกายทิพย์ขององค์พระเยซูเจ้า และท่านได้ประทับตราภารกิจหน้าที่นี้ ด้วยการหลั่งโลหิตของท่านและตายตามแบบพระอาจารย์เจ้าของท่าน
นักบุญเปาโล หลังจากที่ได้กลับใจในระหว่างทางที่มุ่งไปสู่กรุงดามัสกัสแล้ว ก็ได้เดินทางไปในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นจำนวนสามครั้งด้วยกันที่ถือว่าเป็นครั้งสำคัญ การเดินทางครั้งแรกของท่านนั้นมีนักบุญบาร์นาบัส ร่วมเดินทางไปด้วย (กจ 13-14) โดยออกเดินทางจากเมืองอันติโอ๊ค หยุดพักที่เกาะไซปรัสแล้วก็เดินทางผ่านประเทศตุรกีในปัจจุบัน
หลังจากการประชุมของบรรดาอัครธรรมทูตที่กรุงเยรูซาเลมแล้ว ท่านก็ได้เริ่มการเดินทางครั้งที่สอง ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้ได้รับการขอร้องจากบรรดาอัครธรรมทูตทั้งสิบสองอย่างเป็นทางการ (กจ 15: 36-18: 22) ท่านได้เดินทางผ่านดินแดนตุรกี ได้ประกาศพระวรสารในแคว้นฟรีเจียและกาลาเทียซึ่งท่านได้ล้มเจ็บลง (กท 4: 13) จากนั้นก็ได้เดินทางเข้าสู่ยุโรปพร้อมกับนักบุญลูกา และได้ตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นที่แคว้นฟิลิปปี (ประเทศกรีก) ที่แคว้นนี้ท่านได้ถูกจับขังคุกเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่หลังจากนั้นเมื่อได้รับการปล่อย ตัวแล้ว ท่านก็เริ่มประกาศพระวรสารใหม่อีกครั้งหนึ่งที่กรุงเอเธนส์ (ประเทศกรีก) แต่ว่าภารกิจของท่านต้องหยุดชะงักลงต่อหน้าบรรดา นักปรัชญาชาวกรีก แต่ที่เมืองโครินธ์ ท่านได้ตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้น ซึ่งภายหลังได้ทำให้ท่านต้องหนักใจมากกว่าที่อื่นๆ จากนั้นก็กลับเข้าสู่เมืองอันติโอ๊ค
สำหรับการเดินทางครั้งที่สามนั้น (กจ 18: 23-21, 17) ท่านได้เดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคริสตชนต่างๆที่ท่านได้ตั้งขึ้น (ประเทศตุรกี) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคริสตชนที่เมืองเอเฟซัส จากนั้นก็มุ่งสู่ประเทศกรีก ไปเยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่เมืองโครินธ์ แล้วข้ามไปเมืองมิเลตุส พลางได้แจ้งให้บรรดาสมณทั้งหลายได้ทราบถึงการทดลองต่างๆที่ท่านกำลังจะได้รับและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆคือหลังจากที่ท่านได้กลับมาที่กรุงเยรูซาเลมได้ไม่นาน ท่านก็ถูกพวกชาวยิวจับและถูกขังคุก (กจ 21) แต่เนื่องจากว่าท่านถือสิทธิเป็นพลเมืองโรมัน จึงได้อุทธรณ์ไปที่กรุงโรม
และดังนี้ก็เป็นการเริ่มต้นการเดินทางสู่กรุงโรมของท่าน แต่ว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ไม่มีอิสรภาพเพราะถูกควบคุมตัวไว้ (กจ 21-26) ท่านได้ไปถึงกรุงโรมในราวปี 60หรือ 61และได้ถูกจองจำอยู่ในคุกจนถึงปี 63แม้ว่าอยู่ในคุก ท่านก็ได้รับความสะดวกสบายหลายประการ และสามารถติดต่อกับบรรดาคริสตชนที่กรุงโรมได้ ท่านได้เขียนจดหมายจากคุก และต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง ท่านก็ได้รับอิสรภาพ
อาจจะเป็นไปได้ที่ในช่วงนี้ท่านได้เดินทางเป็นครั้งสุดท้ายไปประเทศสเปน (รม 15: 24-28) หรืออาจจะเดินทางไปเยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่ทิโมธีและติตัสศิษย์รักปกครองอยู่ นักบุญเปาโลเองได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งสองนี้โดยบอกเป็นนัยๆว่าวาระสุดท้ายของท่านกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และท่านได้ถูกจับขังคุกอีกครั้งนักบุญเปาโล ได้เป็นมรณสักขีประมาณปี 67ด้วยการถูกตัดศีรษะนักบุญเปโตรและนักบุญเปาโล อัครสาวก เป็นชื่อสองชื่อที่ผูกพันอยู่กับพระศาสนจักรตลอดไปในธรรมประเพณีที่ท่านทั้งสองได้มอบให้แก่เราคริสตชนทุกๆ คน