สวัสดีครับพี่น้องที่รักขอต้อนรับเข้าสู่ปีพิธีกรรมใหม่นั่นคือปีA และเริ่มต้นปีด้วยเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า(Advent) เทศกาลนี้เป็นช่วงเวลาของเตรียมจิตใจด้วยการสำนึกผิดกลับใจและใช้โทษบาปจากสิ่งไม่ดีต่างๆเพราะเราตระหนักดีว่า“พระกุมารเจ้าเสด็จลงมาบังเกิดเพื่อไถ่บาปให้แก่เรา”พระคัมภีร์จึงมีการพูดถึงการปรับเนินเขาให้ราบเรียบหรือการทำให้หลุมบ่อต่างๆในชีวิตให้เติมเต็มเพื่อให้พระกุมารเจ้าสามารถเสด็จมาดำเนินภายในจิตใจของเราได้อย่างสะดวกสบายเปรียบเทียบง่ายๆก็คือหากเรามีบาปก็คล้ายกับการมีเนินเขาก็เอามันออกไปซะ และหากเรามีอะไรที่ยังไม่ได้ทำก็เท่ากับหลุมเป็นบ่อก็ถมให้เต็มช่วงเวลานี้พระศาสนจักรจึงเตือนใจคริสตชนเป็นพิเศษให้ดำเนินชีวิตด้วยความหวังให้รู้จักรักรู้จักให้อภัยสวดภาวนาเชื่อมั่นและไว้วางใจในพระเป็นเจ้าและพร้อมที่จะให้และแบ่งปันความสุขให้แก่กันและกันเพื่อทำให้เราสามารถพบกับพระเจ้าได้ในชีวิตของเรา
พี่น้องครับเมื่อกล่าวถึง“การให้และการแบ่งปันความสุขให้แก่กันและกันโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน”ทำให้พ่อคิดถึงเรื่องหนึ่งที่งดงามที่เกิดขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อนของบุรุษที่ยิ่งใหญ่2 ท่านคืออิกนาซีเจปาดีริวสกีรัฐมนตรีของประเทศโปแลนด์และเฮอร์เบิร์ตฮูเวอร์ประธานธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา….
ในปีค.ศ.1892 ณมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดสหรัฐอเมริกานักเรียนหนุ่มวัย18 ปีคนหนึ่งซึ่งเป็นเด็กกำพร้ายากจนและไม่ทราบว่าจะหันไปทางไหนเพื่อหาเงินมาชำระค่าเล่าเรียนให้กับตนเองที่มหาวิทยาลัยเขากับเพื่อนจึงตัดสินและตกลงกันว่าจะจัดงานดนตรีคอนเสิร์ตขึ้นในมหาวิทยาลัยเพื่อหาเงินเป็นทุนการศึกษาเล่าเรียนให้กับตนเอง
พวกเขาได้เชิญนักเปียโนผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงมาเป็นผู้เปิดการแสดงคอนเสิร์ตโดยนักเปียโนนั้นมีชื่อว่า“อิกนาซีเจปาดีริวสกี”
ผู้จัดการของคุณปาดีริวสกีเรียกร้องค่าจัดการแสดง2,000 ดอลลาร์ทั้งสองฝ่ายตกลงทำสัญญากัน…แต่แล้วสวรรค์ก็ไม่เมตตาหนุ่มน้อยทั้งสองขายบัตรได้ไม่มากนักและเมื่อรวบรวมเงินที่ขายบัตรได้ทั้งหมดแล้วพวกเขาได้เงินมาเพียง1,600 ดอลลาร์เท่านั้นภายหลังการแสดงจบสิ้นลงพวกเขาไปหา
ปาดีริวสกีชี้แจงความจริงให้ทราบพวกเขายกเงินที่ขายบัตรได้ทั้งหมดแก่ปาดีริวสกีพร้อมเช็คอีก1 ใบเป็นเงิน400 ดอลลาร์และสัญญาว่าจะหาเงินเข้าบัญชีให้เร็วที่สุด
ปาดีริวสกีกล่าวว่า“นี่เป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้นะครับ“เขาฉีกเช็คใบนั้น(ที่ยังไม่มีเงิน) แล้วคืนเงิน1,600 เหรียญให้แก่หนุ่มน้อยทั้งสองคนพร้อมกับบอกว่า“พวกคุณหักค่าใช้จ่ายในการจัดการแสดงให้ครบก่อนแล้วเก็บเงินจำนวนที่คุณต้องจ่ายค่าเทอมเอาไว้เหลือเงินเท่าไรคุณค่อยมอบให้แก่ผมนะครับ“
แม้มันจะเป็นความเมตตาเพียงเล็กน้อยแต่การกระทำของปาดีริวสกีก็เป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่าเขาเป็นคนดีและมีจิตใจเมตตาต่อผู้อื่นซึ่งในความเป็นจริงเราทุกคนคงเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาบ้างแล้วในชีวิตจริงของเราและส่วนใหญ่พวกเรามักจะคิดกันว่า“ถ้าเราช่วยเขาแล้วเราจะได้อะไรตอบแทน“แต่คนดีนั้นจะคิดว่า“ถ้าเราไม่ช่วยเขาแล้วพวกเขาจะเป็นอย่างไร“พวกเขาให้ความช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทนพวกเขาทำไปเพราะรู้สึกว่า“เป็นสิ่งที่สมควรต้องทำ”
ต่อมาปาดีริวสกีได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีของโปแลนด์ในสงครามโลกครั้งที่1 ประชากรโปแลนด์อดอยากและหิวโหยรัฐบาลไม่มีเงินพอจะซื้ออาหารมาเลี้ยงดูประชาชนปาดีริวสกีจึงตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือไปยังองค์การอาหารเพื่อการบรรเทาทุกข์แห่งสหรัฐอเมริกาหัวหน้าองค์การนี้ชื่อเฮอร์เบิร์ตฮูเวอร์(ซึ่งต่อมากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ)
ฮูเวอร์ส่งเรือบรรทุกอาหารไปยังโปแลนด์พลิกสถานการณ์ภัยพิบัติได้ในช่วงเวลาอันสั้นปาดีริวสกีจึงตัดสินใจเดินทางไปสหรัฐฯเพื่อขอบคุณฮูเวอร์ด้วยตนเองเมื่อเขาเริ่มกล่าวคำขอบคุณฮูเวอร์ก็ตัดบทเขาโดยกล่าวว่า“ท่านนายกรัฐมนตรีครับท่านไม่ต้องขอบคุณผมเลยนะครับท่านอาจจำเรื่องราวไม่ได้แล้วแต่หลายปีก่อนท่านได้ช่วยนักเรียนหนุ่มสองคนให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัย
…ผมเป็นหนึ่งในสองคนนั้นครับ” (ที่มา: https://propelsteps.wordpress.com/2013/05/13/a-true-story-happened-in-1892-at-stanford-university/)
พี่น้องครับในโลกแห่งความจริงก็เป็นแบบนี้แหละ“สิ่งใดที่เราเคยทำสิ่งนั้นก็จะย้อนกลับมาหาเราแบบไม่รู้ตัว”หากเราให้ความดีเราก็จะได้รับความดีความรักและมิตรภาพกลับคืนมาและหากเราให้การอภัยเราก็จะได้รับความสุขและการคืนดีดังนั้นจึงขอเชิญชวนให้พี่น้องดำเนินชีวิตในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ด้วยความหวังและเตรียมตัวเตรียมใจของเราให้พร้อมเพื่อพบกับพระเจ้าในชีวิตของเรา
…คุณพ่อปลัด…