ข้อคิดวันสมโภชพระคริสตสมภพ
ลก2: 1-14…วันนี้ในเมืองของกษัตริย์ดาวิดพระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้วพระองค์คือพระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า…พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุด…และบนแผ่นดินสันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน…
“อย่ากลัวเลยเพราะเรานำข่าวดีมาบอกท่านทั้งหลาย…วันนี้ในเมืองของกษัตริย์ดาวิดพระผู้ไถ่ประสูติเพื่อท่านแล้ว”…ขณะที่เรากำลังชุมนุมกันอยู่หน้าถ้ำพระกุมารนี้เพื่อทำการสมโภชพระคริสตสมภพพระวจนาตถ์พระบุตรพระเจ้าพระผู้ไถ่ของเราทรงประทับอยู่ท่ามกลางเราไม่ใช่แบบทารกที่ช่วยตัวเองไม่ได้แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ…ดังนั้นให้เราสลัดความกลัวต่างๆทิ้งเสียและให้เปิดหัวใจของเรารับความชื่นชมยินดีและความสุขใจที่พระองค์ได้ทรงนำมาให้พร้อมกับการบังเกิดของพระองค์…
ข้อคิด…เรื่องราวเกี่ยวกับการบังเกิดของพระเยซูเจ้าตามคำบอกเล่าของนักบุญลูกาได้รับการนำเสนอในพระวรสารสำหรับพิธีบูชาขอบพระคุณในสองมิสซาแรกของวันสมโภชพระคริสตสมภพนี้…เรื่องราวการบังเกิดเป็นมนุษย์ขององค์พระวจนาตถ์สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อของพระศาสนจักรหลังการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูคริสตเจ้า…พระนามที่นักบุญเปโตรได้ถวายให้กับพระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพว่า“องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเมสสิยาห์” นั้นบัดนี้ได้นำมาใช้กับพระกุมารพระผู้บังเกิดมาจากบรรดาทูตสวรรค์
นักบุญลูกาได้วางโครงสร้างเรื่องราวการบังเกิดขององค์พระวจนาตถ์ไว้อย่างน่าสนใจยิ่งโดยให้พระจักรพรรดิออกัสตัสกลายเป็นเครื่องมือชิ้นหนึ่งของพระเจ้าที่บ่งบอกว่าพระเยซูเจ้าได้บังเกิดมาในเมืองของกษัตริย์ดาวิด…การไม่ยอมรับพระเยซูเจ้าพร้อมกับบิดามารดาของพระองค์ให้พักค้างแรมเป็นการชิมลางการถูกปฏิเสธจากชนชาวยิวทั้งชาติ…พระนางมารีย์ก็แสดงให้เห็นว่าพระนางทรงเป็นมารดาที่เอาใจใส่ดูแลโดยใช้ผ้าห่อหุ้มร่างกายของกุมารน้อยและวางพระองค์ในรางหญ้าความรักเอาใจใส่ของพระนางสะท้อนให้เห็นถึงความรักเอาใจใส่ของพระเจ้า
เนื่องจากว่าพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดในความยากจนจึงสมควรที่ข่าวสารแห่งการบังเกิดของพระองค์ได้รับการแจ้งให้ทราบเป็นครั้งแรกแก่เหล่าคนเลี้ยงแกะธรรมดาๆนี่ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสนใจและความใส่ใจของท่านนักบุญลูกาที่มีต่อคนยากจนต่ำต้อยน่าสงสารความเชื่อศรัทธาของเหล่าคนเลี้ยงแกะได้ถูกนำมาใช้เป็นรูปแบบสำหรับผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาในอนาคตและความชื่นชมยินดีของพวกเขาเป็นการนำร่องพระพรซึ่งจะประทานลงมายังบรรดาผู้ที่จะยอมรับพระเยซูเจ้าว่าเป็นพระผู้ไถ่ที่พระเจ้าได้ทรงส่งมา
สำหรับพิธีบูชาขอบพระคุณที่สามของวันสมโภชพระคริสตสมภพพระศาสนจักรก็จะอ่านอารัมภบทของพระวรสารตามคำบอกเล่าของนักบุญยอห์น…อารัมภบทนี้จะนำเสนอเนื้อหาความหมายที่สมบูรณ์ที่สุดของวันสมโภชนี้ท่านนักบุญยอห์นได้นำเรากลับไปสู่ก่อนการสร้างโลกจักรวาลเสียอีกพลางบอกกับพวกเราว่าพระกุมารน้อยที่เกิดมานี้คือองค์“พระวจนาถต์”พระบุตรของพระเจ้าซึ่งนำชีวิตและความสว่างมาให้โลกมนุษย์…“สำหรับผู้ที่ยอมรับพระองค์พระองค์ก็จะประทานอำนาจให้ผู้นั้นกลายเป็นบุตรของพระเจ้า” (ยน1: 12)
ทุกๆปีในเทศกาลคริสต์มาสหรือพระคริสตสมภพนี้เรามักจะส่งบัตรอวยพรคริสต์มาสและปีใหม่ให้กันและกันอาจจะเป็นเพราะคิดถึงกันหรือรักกันจริงๆหรืออาจจะเป็นเพราะเป็นธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นประจำทุกๆปี
บางทีในชีวิตจริงของเรามนุษย์…เราติดต่อกับคนบางคนปีละครั้งสองครั้งเช่นในโอกาสวันเกิดวันคริสต์มาสวันขึ้นปีใหม่ซึ่งแน่นอนการติดต่อกันแบบนี้คงไม่ส่งผลอะไรกับชีวิตของเรา
เช่นเดียวกันในชีวิตแบบคริสตชนของเรา…บางทีเราก็อาจจะติดต่อกับพระเจ้าปีละครั้งสองครั้งเท่านั้นคือในโอกาสคริสต์มาสและปัสกาและบางทีอีกครั้งหนึ่งก็ในโอกาสใกล้ตาย
การที่เราไม่ได้ติดต่อกับคนอื่นหรือนานๆก็มีการติดต่อกันเสียทีบางทีก็เป็นการสูญเสียโอกาสอะไรบางอย่างเหมือนกันยิ่งถ้าในกรณีที่เราไม่ได้ติดต่อกับพระเจ้าหรือติดต่อกับพระองค์เพียงปีละครั้งสองครั้งเท่านั้นก็นับว่าเป็นการสูญเสียที่ใหญ่หลวงขึ้นไปอีกเป็นร้อยเท่าทวีคูณอันจะเกิดช่องว่างอย่างมากระหว่างเรากับพระเจ้าเพราะถ้าหากชีวิตเราไม่มีพระเจ้าเราก็จะขาดอะไรสำหรับเป็นที่ยึดเหนี่ยวและเป็นที่พึ่งทางจิตใจและชีวิตก็จะเป็นเรื่องที่เข้าใจลำบากยิ่งขึ้นบางทีอาจจะทนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้
เราคงไม่ถึงกับจะตายเสียทีเดียวเมื่อเราเลิกเชื่อในพระเจ้าแต่ชีวิตของเราจะขาดการส่องสว่างจากพระองค์ขาดชีวิตชีวาและจะรู้สึกว่าชีวิตถูกโดดเดี่ยว…เทศกาลคริสต์มาสเป็นช่วงเวลาที่เหมาะมากๆที่เราจะหันมาติดต่อกับพระเจ้าเพราะเราจะรู้สึกว่าพระองค์อยู่ใกล้เราเป็นพิเศษทำให้เราไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแต่จะทำให้เรารู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งอยู่เคียงข้างเราคอยช่วยเหลือเราคอยนำเราคอยให้กำลังใจเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราเดือดร้อนมีปัญหา
เช่นเดียวกันในเทศกาลคริสต์มาสนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะหันมาติดต่อกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวกับสมาชิกในหมู่คณะเดียวกันกับเพื่อนๆที่มีอุดมการณ์เดียวกันการติดต่อกันนี้ก็จะนำสันติและความชื่นชมยินดีมาให้
พวกคนเลี้ยงแกะกลับไปหาฝูงแกะของตนพลางถวายเกียรติและขับร้องสรรเสริญพระเจ้าสำหรับสิ่งต่างๆที่พวกเขาได้เห็นและได้ยิน…ดูภายนอกก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ลึกๆลงไปทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วขณะนี้หัวใจของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความพิศวงอัศจรรย์ใจพวกเขาได้มีวิสัยทัศน์อันใหม่มีความหวังอันใหม่มีความหมายอันใหม่แห่งความรักของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาอันทำให้พวกเขามีชีวิตใหม่ชีวิตที่จะต้องสรรเสริญพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาเพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ที่ได้ทรงประทานพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์ให้มาบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นคนหนึ่งท่ามกลางพวกเรา
มีอีกสิ่งหนึ่งที่เราจะต้องคิดถึงควบคู่กับการฉลองคริสต์มาสก็คือเรื่องของ“สันติภาพ”…เวลาที่พระเยซูเจ้าบังเกิดทูตสวรรค์ร้องเพลงว่า“พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในสวรรค์สูงสุดและบนแผ่นดินสันติจงมีแก่มนุษย์ที่พระองค์โปรดปราน”…นี่เป็นถ้อยคำที่น่ารักที่สุดอันหนึ่งของพระวรสาร
“สันติภาพ”คงไม่ใช่เป็นเรื่องของการไม่มีสงครามไม่ใช้ความรุนแรงเท่านั้นคำว่า“สันติภาพ”มีความหมายอะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นมากมายนักในภาษาฮีบรูคำว่า“สันติภาพ”หรือ“ชาโลม”หมายถึงความบริบูรณ์หรือสภาพความเป็นอยู่ที่ดีสมบูรณ์พร้อมทั้งกายและใจองค์ประกอบที่สำคัญของ“สันติภาพ”คือความชอบธรรมดังนั้นถ้าหากว่าไม่มีความชอบธรรมก็จะไม่มีสันติภาพที่แท้จริงและจะไม่มีสันติภาพสำหรับคนไม่ดีสันติภาพสามารถอยู่ได้ในท่ามกลางความยุ่งยากลำบากสันติภาพเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ขึ้นกับกรณีแวดล้อมภายนอก…”สันติภาพ”เป็นสภาพของความสงบภายในจิตใจอันบ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ถูกที่ควรกับพระเจ้าและกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันสันติภาพเป็นพระพรของพระเจ้าเป็นพระพรของวันคริสต์มาสสันติภาพเป็นพระพรของพระเจ้าที่ให้กับเรามนุษย์ในการบังเกิดมาเป็นมนุษย์ขององค์พระบุตรพระเจ้าและของขวัญที่เราแต่ละคนสามารถมอบแด่พระเจ้าได้คือการสร้างสันติภาพในระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน