ข้อคิดวันอาทิตย์ที่28เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ 22: 1-14…กษัตริย์ให้คนใช้ไปบอกกับผู้รับเชิญว่าบัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว… พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด…
ขณะนี้ เรามาชุมนุมกันอยู่รอบโต๊ะทานเลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูเจ้า เราพากันมาอยู่ที่นี่ เพราะพระเจ้าได้ทรงเชื้อเชิญเรา และพวกเราก็ได้ตอบรับคำเชื้อเชิญของพระองค์…ขอให้เราได้มีจิตสำนึกในการขอบพระคุณพระเจ้าและได้มีจิตใจที่ร่าเริงยินดีที่ได้มาร่วมในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณนี้
ข้อคิด…ท่านประกาศกอิสยาห์ใช้ภาพลักษณ์ของงานวิวาห์เพื่อที่จะสาธยายความสมบูรณ์ของชีวิตที่พระเจ้าทรงต้องการจะประทานให้กับมนุษย์ มิใช่เพียงเฉพาะให้กับชนชาวอิสราแอลเท่านั้น แต่ให้กับทุกๆคนบนโลกใบนี้ พระเยซูเจ้าเองก็ทรงใช้ภาพลักษณ์เดียวกันนี้ในเรื่องอุปมาของพระองค์ด้วย ในการเชื้อเชิญครั้งแรก พระเจ้าได้ทรงทำกับชนชาวอิสราแอล แต่ว่าโดนปฏิเสธ ดังนั้นพระองค์จึงได้หันไปเชิญคนต่างชาติ ให้เข้ามาร่วมงานวิวาห์นี้แทน
ส่วนในเรื่องของเสื้อผ้าอาภรณ์ที่จะต้องสวมใส่เข้ามาในงานวิวาห์นั้น โดยมารยาทแล้ว ก็จะต้องให้สมกับงานนั้นๆ…มีคนหนึ่งที่ไม่สวมเสื้อผ้าอาภรณ์สำหรับงานวิวาห์ ก็เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน เป็นชีวิตที่มิได้ผลิดอกออกผลแห่งการกลับใจใช้โทษบาป เช่นเดียวกับบรรดาคริสตชนซึ่งเป็นแขกผู้รับเชิญรุ่นใหม่ ก็จะต้องพบกับชะตากรรมอย่างเดียวกันกับของชนชาวอิสราแอลเหมือนกัน เมื่อพวกเขาเหล่านั้นจะไม่ได้ผลิดอกออกผลแห่งกิจการที่ดีในชีวิตของพวกเขา
งานวิวาห์ของกษัตริย์ก็ยังคงเป็นงานเลี้ยงที่วิจิตรพิศดารตระการตาอย่างสุดๆและผู้ที่ได้รับเชิญไปในงานนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นเอกสิทธิ์และเป็นเกียรติที่พิเศษจริงๆ และอาจจะเป็นครั้งเดียวในชีวิต
การตอบรับคำเชื้อเชิญอาจจะมีหลายอย่างด้วยกัน
o บางคนก็รับคำเชื้อเชิญซึ่งก็แน่นอนย่อมทำให้ผู้ที่ทำการเชื้อเชิญนั้น มีความสุข และการตอบรับคำเชิญย่อมมีขีดขั้นที่ไม่เท่ากัน คือบางคนตอบรับเพียงแต่เป็นแบบขอไปที เพราะการที่เขาต้องไปในงาน ก็เพราะคล้ายๆกับถูกบังคับให้ต้องไป แต่ก็ยังมีอีกบางคนที่ไปในงานด้วยความกระตือรือร้น เพราะถือว่ารู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกเป็นบุญเป็นคุณที่ได้รับคำเชิญ
o แต่ก็อาจจะมีบางคนที่ปฏิเสธคำเชื้อเชิญนั้น คำปฏิเสธย่อมทำให้เจ้าภาพรู้สึกผิดหวังและท้อแท้อันเป็นการทำร้ายจิตใจของเจ้าภาพด้วย แต่ก็จะทำให้เจ้าภาพเองได้นำเอาไปคิดคำนึงว่าจริงๆแล้วตัวเองจะต้องปฏิบัติต่อคนจำพวกนี้อย่างไร การปฏิเสธก็มีขีดขั้นที่ไม่เท่ากันเช่นกัน ในบางกรณีอาจจะเกิดขึ้นได้ว่าผู้รับเชิญได้มีการนัดหมายมาก่อน หรือในบางกรณีที่ผู้รับเชิญไม่ได้มีความสนใจเลยในงานนั้นๆ มิใช่เป็นเพราะว่าเขามาไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าเขาไม่อยากมา
o มีหนทางที่สามในการตอบรับคำเชิญ คือไม่ให้คำตอบใดๆทั้งสิ้น ผู้เป็นเจ้าของงานก็คอยแล้วคอยเล่า แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่น่าจะเป็นการตอบรับที่เลวร้ายที่สุด เลวร้ายกว่าการปฏิเสธเสียอีก เพราะไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น หรือว่าได้เกิดอะไรขึ้นที่ได้ทำให้เกิดการขัดใจกันโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่รู้ตัว
พระเจ้ามิได้ทรงบังคับเราให้ไปในงานเลี้ยงของพระองค์ แต่พระองค์ทรงเชื้อเชิญเรา เพราะถ้าเป็นเรื่องของคำสั่ง จะทำเป็นไม่รู้เรื่อง ก็คงจะไม่ได้ ส่วนคำเชิญนั้น เราอาจจะไม่ให้ความสนใจเลย ก็ย่อมทำได้ แทบจะในทุกๆเรื่องที่พระเจ้าทรงใช้วิธีการที่สองนี่แหละ เพราะพระองค์ทรงเคารพและให้เกียรติในเสรีภาพของเรามนุษย์ซึ่งเป็นพระพรที่ประเสริฐสุดประการหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้กับเรามนุษย์
บ่อยๆครั้ง เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรจริงๆและอาจจะไม่รู้ว่าอะไรดีสำหรับเราด้วยซ้ำไป เพราะบางครั้ง เราอาจจะมีธุระมากเกินไป ชีวิตของเราถูกอัดแน่นและเต็มไปด้วยสิ่งสารพัด จนกระทั่งไม่มีพื้นที่ว่างในจิตใจและในความคิดให้กับพระเจ้าเลย
เฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา เช่นเดียวกับผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ซึ่งพยายามหาแต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกของตน พระเจ้าก็ทรงกระทำเช่นเดียวกัน เพราะว่าเราเป็นลูกของพระองค์
พระเจ้าทรงกำลังเรียกเราแต่ละคนไปสู่อะไร?
พระเจ้าทรงกำลังเรียกเราให้ไปสู่ชีวิตที่เอาจริงเอาจังและสมบูรณ์แบบมากขึ้นบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงกำลังเรียกเราให้มีชีวิตที่ชิดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์มากยิ่งขึ้น และทรงกำลังเรียกเราให้มีชีวิตร่วมกับเพื่อนพี่น้องของเราบนโลกใบนี้มากยิ่งขึ้นด้วย และ ณ เวลาที่เราจะต้องจากโลกใบนี้ไป พระองค์ก็จะทรงเรียกเราให้ไปสู่ชีวิตนิรันดร
การไม่ยอมรับคำเชื้อเชิญของพระเจ้าเป็นรูปแบบของการปฏิเสธที่เลวร้ายที่สุดก็ว่าได้ หมายถึงการไม่แยแสต่อคำเชื้อเชิญของพระองค์ คนที่ไม่แยแสต่ออะไรทั้งสิ้น เป็นคนที่จะทำให้เป็นทุกข์กลับใจได้นั้น ก็ยากที่สุดด้วย ดังนั้นขอให้เราทุกคนได้ตอบสนองรับคำเชื้อเชิญของพระเจ้าและแต่งตัวให้เหมาะสมกับงานเลี้ยงในพระอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ด้วย