สัปดาห์นี้พี่น้อง พบกันอีกครั้งในคอลัมน์ “คิดสักนิด..สะกิดใจ” ในอาทิตย์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา คำอุปมาเรื่อง“ผู้หว่าน” เป็นคำอุปมาที่งดงามของพระเยซูเจ้าที่ทรงสั่งสอนประชาชนจากเรื่องราวในชีวิตประจำวัน ซึ่งพวกเขารู้จักและคุ้นเคยดีอยู่แล้ว โดยพระองค์ทรงอุปมาถึง เมล็ดพืชและลักษณะของดิน ด้วยกัน 4 ประเภท กล่าวคือ เมล็ดพืช หมายถึง พระวาจาของพระเจ้า ส่วนดิน หมายถึง จิตใจของมนุษย์ที่มีลักษณะที่ต่างกัน และให้ผลที่ต่างตามประเภทของดิน
ดินตามทางเดิน หมายถึง คนจิตใจที่แข็งกระด้าง เป็นจิตใจที่มืดสนิทและปฎิเสธไม่ยอมรับฟังพระวาจาหรือข่าดีของพระเจ้า จนพระวาจาไม่สามารถทะลุเข้าไปไปถึงจิตใจของคนประเภทนี้ได้เลย ซึ่งคนประเภทนี้ได้แก่ คนใจบาป หยิ่งยโส คิดว่าตนเก่ง รู้ทุกอย่าง และไม่ต้องการพระเจ้า พระวาจาจึงไม่ผลอะไรกับจิตใจของเขาเลย
ดินบนหิน หมายถึง คนที่มีความเชื่อตื้อเขิน เป็นจิตใจของคนที่พร้อมเปิดรับพระวาจาทันที และด้วยความยินดีเพียงในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น แต่เมื่อพบกับปัญหาอุปสรรค ก็ละทิ้งพระเป็นเจ้า ละทิ้งความเชื่อเพราะขาดรากฐานที่มั่นคง ซึ่งคนประเภทนี้ก็อาจเปรียบเสมือนคริสตชนแต่ในนาม หรือตามทะเบียนศีลล้างบาป คริสตชนที่มาวัดเพื่อให้เหมือนคนอื่น ๆ มาวัดเพรากลัวบาป หรือเพราะกลัวคนตำหนิติเตียน เขาอาจพอมีความเชื่ออยู่บ้าง แต่ไม่เข้มแข็งอะไรเลย
ดินในกอหนาม หมายถึง คนที่หมกหมุ่นอยู่กับหลายสิ่ง จนไม่มีเวลาวัด สวดภาวนา อ่านพระคัมภีร์ หรืออยู่เงียบๆ กับพระเจ้า ชอบปล่อยตัวตามความสะดวกสบาย และความโน้มเอียงในสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ทำให้จิตใจถูกครอบงำด้วยความเกลียดชัง อิจฉาริษยา และความโลภ และสิ่งที่คนกลุ่มนี้สนใจก็มีเพียงแต่สิ่งเดียวคือ เงิน ดังตัวอย่างของยูดาสที่ติดตามพระเยซูเจ้าเป็นเวลานาน แต่ไม่สามารถเอาชนะความละโมบในใจตนเองได้
ดินดี หมายถึง คนที่ใจที่เปิดกว้าง พวกเขาพร้อมที่จะรับฟังพระวาจาของพระเจ้า และนำมาปฏิบัติเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้วยความร้อนรน จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง เพราะพระวาจาได้เปลี่ยนแปลงตัวเขาอย่างไม่คาดคิด
พี่น้องครับ พ่อเชื่อว่าในบรรดาคริสตชนนั้น คงไม่มีใครหรอกบอกปัดทิ้งพระวาจา หรือปฎิเสธไม่ยอมรับฟังพระวาจาเลยเหมือนกับดินประเภที่ 1 (ดินตามทางเดิน) แต่เราส่วนใหญ่หลายคน คงจะเป็นแบบ ประเภทที่ 2 และ 3 (ดินในดินบนหิน และดินในกอหนาม) และก็อาจมีคริสตชนบางคนด้วยซ้ำที่อาจจะเป็นแบบดินดี ดังนั้น สิ่งที่เราควรให้ควาสำคัญและควรตั้งคำถามถามตัวเราอยู่เสมอ คือ เราเป็นดินประเภทไหน? และพระวาจาของพระเจ้ามีความหมายอย่างไรสำหรับตัวเรา? ซึ่งแน่นอนปัญหาที่แท้จริง คงไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของพระวาจา แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวเราที่ยังเป็นดินที่ไร้ประสิทธิภาพ เรายังให้ความสำคัญกับพระวาจาไม่เพียงพอ เราไม่ได้ทำให้พระวาจาเป็นชีวิตของเราด้วยการเปิดรับพระวาจาเพียงแค่ “หู” แต่ไม่ลงไปสู่ “จิตใจและการกระทำ” ของเรา และมิหน้ำซ้ำ เราก็ยังสลวนกับวัตถุ เงินทอง และปล่อยตัวให้อยู่กับการประจญหรือค่านิยมของโลกนี้ จนพระวาจาของพระเจ้าไม่สามารถหยั่งรากลึกในจิตใจ จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและทำให้เราเติบโตเกิดผลในความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องได้
…คุณพ่อปลัด…