สวัสดีครับพี่น้องที่รัก พบกันอีกครั้งในคอลัมน์ “คิดสักนิด..สะกิดใจ” ในอาทิตย์ที่ 22 ของเทศกาลธรรมดา วันนี้ในพระวรสารพระเยซูเจ้าทรงสอนเราอย่างชัดเจนว่า “จงเลิกคิดถึงตนเอง แบกไม้กางเขนของเราและติดตามพระองค์” ซึ่งสำหรับพ่อแล้ว “การเลิกนึกถึงตนเอง” เป็นสิ่งที่ยากและสำคัญที่สุด เพราะเราคงไม่ยอมแบกไม้กางเขน และติดตามพระองค์ไปแน่นอน ถ้าเรายังมัวแต่คิดถึงตนเอง
การคิดถึงตนเอง นั่นหมายถึงอะไร? การคิคถึงตนเอง หมายถึง การวางตนเองเหนือกว่าคนอื่น ทั้งความคิด วาจา และกิจการ เป็นการหาประโยชน์ใส่ตนเอง โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะได้รับผลกระทบอย่างไร แต่จะสนใจเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองและทางโลก ทั้งเรื่องการกิน การดื่ม การหาความสนุกสนาน ชีวิตของคนที่คิดถึงตนเองจึงไม่เคยรู้สึกเพียงพอทั้งในเรื่องของอำนาจ ชื่อเสียง เงินทอง และเกียรติยศ ซึ่งแบบนี้เหละทั้งหมดเรียกว่า “การคิดถึงตนเอง” ซึ่งแน่นอน แม้การคิดถึงตนเอง อาจเป็นเรื่องที่บาปและไม่ผิดอะไร เพราะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของเรามนุษย์ที่เรารักตนเองและมักเอาตนเองเป็นศูนย์กลางของชีวิตเสมอ แต่หากเราต้องการเป็นศิษย์ที่ดีของพระเยซูเจ้าและติดตามพระองค์ได้อย่างใกล้ชิด เราต้องไม่ปล่อยชีวิตของเราให้เป็นทาสของความคิด และการกระทำเหล่านี้ แต่เราต้องทำให้ชีวิตของเราอิสระ เพื่อเราจะได้แบกไม้กางเขนและติตดามพระองค์ไปได้
ดังเช่นในวันนี้ เราจะพบว่านักบุญเปโตรได้อยู่ในสภาพของการคิดถึงตนเองมากเกินไป ท่านจึงกล่าวทัดทานพระเยซูเจ้าว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์” แต่พระองค์ทรงเตือนและให้สติท่านว่า “เจ้าซาตาน ถอยไป เจ้าไม่คิดอย่างพระ แต่คิดอย่างมนุษย์” พวกเราก็เช่นกัน อย่าเผลอที่จะคิดถึงแต่เพียงตนเอง แต่จงระวังตัวเสมอ เพื่อเราจะได้ไม่ตกเป็นทาสของตนเองและฝีปีศาจ เราจึงต้องพิจารณาตนเองเสมอๆและบ่อย ๆ ว่าในแต่ละวันของเรา เราตกเป็นทาสของคำว่า “ฉัน” มากน้อยแค่ไหน เพราะอย่าลืมว่า เมื่อเราคิดถึงแต่ตนเอง เราจะไม่สามารถแบกกางเขนได้
มีเรื่องเก่าแก่เรื่องหนึ่งที่เล่าถึงชีวิตในปั้นปลายของนักบุญเปโตรไว้ว่า ในระหว่างการเบียดเบียนศาสนาคริสต์ในสมัยจักรพรรดิเนโร บรรดาคริสตชนแห่งโรมได้ขอร้องให้นักบุญเปโตรหนีออกจากโรม โดยให้เหตุผลว่า “ชีวิตของท่านมีค่าต่อพระศาสนจักร ดังนั้น ท่านจงหนีไปเถิดไปยังที่ปลอดภัย” เปโตรจึงรีบหนีออกจากโรมโดยใช้ถนนแห่งหนึ่งในกรุงโรม และในระหว่างทางนั้น ท่านพบกับพระเยซูเจ้าที่กำลังเดินสวนทางกับท่าน จึงถามพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะไปไหน” พระองค์จึงตรัสตอบว่า “เราจะกลับไปที่โรมและถูกตรึงกางเขนอีกครั้งหนึ่ง” แล้วพระองค์ก็ตรัสถามต่อไปว่า “แล้วเจ้าละ จะไปไหน?” เปโตรถึงกับร้องไห้และเข้าใจทันทีว่า ท่านคิดถึงตนเองมากไป ท่านควรแบกกางเขน ติดตามพระองค์ไป ท่านจึงหันหลังกลับไปที่โรมอีกครั้งหนึ่ง ที่นั่น ท่านถูกจับและถูกประหารชีวิตด้วยการตรึงไม้กางเขน เอาศีรษะลงดิน เพราะท่านเห็นว่า ท่านไม่สมควรที่จะตาย ในลักษณะเหมือนพระอาจารย์เจ้า
ดังนั้น ในทุกวันนี้ถนนสายเก่าแก่เส้นนี้ของกรุงโรมที่มีชื่อชื่อ “อับปีอา” จึงมีวัดแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า “Quo Vadis, Domine?” ซึ่งแปลเป็นภาษาลาตินว่า “พระเจ้าข้า พระองค์จะไปไหน” สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจคริสตชน เรื่องการแบกไม้กางเขนของพระเยซูเจ้า และเป็นการเตือนใจเราด้วยเช่นกันว่า เราจะพร้อมไหม? ที่แบกไม้กางเขนและติดตามพระองค์ไป โดยลืมเองในทุกๆ วัน
…คุณพ่อปลัด…