ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 24 เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ18: 21-35; บสร 27: 30-28: 7…เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง…และจงให้อภัยเพื่อนบ้านที่ทำผิดต่อท่าน แล้วบาปของท่านจะได้รับการอภัย
พระวรสารในวันนี้ พระเยซูเจ้าได้ทรงแก้ปัญหาที่ว่าถ้าหากเราต้องการให้พระเจ้าให้อภัยแก่เรา เราก็ต้องให้อภัยแก่คนอื่น…เราต่างก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้อภัย แต่ว่าในเวลาเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆเมื่อเรารู้จักให้อภัยคนอื่น…ทุกครั้ง เวลาที่เริ่มพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เราก็จะเริ่มด้วยการขออภัยโทษจากพระเจ้า
ข้อคิด…พระวรสารในวันนี้ได้หยิบยกปัญหาเรื่องที่เพื่อนพี่น้องคริสตชนที่ได้ทำผิดต่อกัน ส่วนบทเพลงสดุดี (สดด 103) พูดให้เราฟังเกี่ยวกับความยิ่งใหญ่แห่งการให้อภัยของพระเจ้าซึ่งตรงข้ามกับความใจแคบของเราในการให้อภัยคนอื่น ถ้าหากว่าเรายังให้อภัยคนอื่นไม่เป็น มันก็จะเป็นตัวชี้บ่งว่าเราไม่เคยมีประสบการณ์ถึงการให้อภัยของพระเจ้า
ฐานะของคนใช้ในเรื่องเล่าของพระเยซูเจ้าอยู่ในสภาพที่หมดหวังอย่างยิ่ง…เขาเป็นหนี้กษัตริย์จำนวนเงินมหาศาลจนว่าแม้เขาจะทำงานตลอดชีวิตของเขา เขาก็ยังไม่สามารถชดใช้หนี้จำนวนมหาศาลนี้ได้…นี่เป็นสภาพการณ์ของเราแต่ละคนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เราไม่สามารถเอาชนะการให้อภัยของพระเจ้าได้เลย สิ่งที่เราสามารถทำได้ ก็คือวิงวอนขอพระเมตตาจากพระองค์
พระวรสารในวันนี้พูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเราทุกๆคน คือเรื่องของการให้อภัย…คงจะไม่มีใครที่ตลอดทั้งชีวิตไม่เคยโดนทำร้ายหรือว่าไมเคยทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะด้วยความคิด คำพูด หรือกิจการ…และเราทำอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่ว่านี้?…ก็คงสามารถนำเอามาพิจารณาได้ใน 2 ประเด็นด้วยกัน คือหรือว่ามันจะเป็นโอกาสช่วยให้เราได้พัฒนาเจริญเติบโตขึ้น หรือว่ามันจะเป็นอุปสรรคสำหรับการพัฒนาเจริญเติบโตทางด้านชีวิตมนุษย์และทางด้านชีวิตจิตของเรา
การโดนทำร้าย…มิใช่เป็นเรื่องง่ายที่เราจะจัดการกับมันอย่างดีและอย่างมีเหตุมีผล ทันทีที่เราโดนทำร้าย ความรักและความสงสารตัวเองก็จะรีบเข้ามาในความคิดและในอารมณ์ความรู้สึกของเราทันที และเมื่อเรายอมรับความคิดและอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้ ทันทีก็จะเกิดความขมขื่น ความขุ่นเคืองใจและความโกรธขึ้นมาทันที ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นยาพิษสำหรับจิตวิญญาณของเราและจะทำลายศักยภาพที่จะรักเพื่อนมนุษย์ในตัวเราด้วย…หลายๆคนชอบที่จะเก็บความรู้สึกโดนทำร้ายนี้ไปนานๆเป็นเวลาหลายๆปีหรืออาจจะเก็บมันไว้ชั่วชีวิตของเขาซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างยิ่ง
เป็นครั้งคราวที่เราควรจะปัดกวาดทำความสะอาดจิตวิญญาณของเรา ให้หมดไปจากความรู้สึกขุ่นเคืองและความโกรธแค้นนี้ มิฉะนั้น มันก็จะเป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่คอยกัดกร่อนจิตวิญญาณและชีวิตของเราไปเรื่อยๆ
แน่นอน การให้อภัยมิใช่เป็นเรื่องที่ง่าย ไม่ว่าจากมุมมองทางด้านของความเป็นมนุษย์ก็ตาม การรู้จักให้อภัยจะช่วยเราในการผลักดันตัวเองให้ออกจากความรู้สึกขุ่นเคืองและขมขื่น และดังนี้ เราก็จะสามารถมีประสบการณ์แห่งอิสรภาพ ความบันเทาใจและความสะอาดหมดจดของจิตวิญญาณซึ่งจะทำให้เราสามารถอุทิศตัวเราเองให้กับเพื่อนพี่น้องอันสอดคล้องกับความเป็นคริสตชนของเราแต่ละคน
การให้อภัยเป็นยาบำบัดรักษาหัวใจของเรามนุษย์ได้อย่างดีเยี่ยม
การให้อภัยจะทำการอัศจรรย์ให้ผู้ที่ได้รับการอภัยด้วย จะทำให้เขาทั้งสองเป็นอิสระที่จะเดินไปด้วยกันอย่างเพื่อนกับพระเจ้าและกับคนที่เขาได้ทำร้ายหรือถูกทำร้ายด้วย
การให้อภัยเรียกร้องให้มีการเข้าใจความน่าสงสารและความเป็นคนบาปของตนเองอันทำให้เราต้องการการได้รับการให้อภัยจากพระเจ้าและจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันด้วย นี่จะช่วยทำให้เราให้อภัยคนอื่นด้วยความเข้าใจที่ดีและด้วยความสุภาพถ่อมตน
การให้อภัยด้วยคำพูด เป็นสิ่งที่ไม่เพียงพอ…เราต้องให้อภัยด้วยหัวใจ…ตามที่พระวรสารได้กล่าวไว้
เราให้อภัย มิใช่ถ้าหรือเมื่อคนที่ทำร้ายเราเป็นทุกข์เสียใจ ซึ่งเราก็สามารถให้อภัยได้ไม่ยากนัก แต่เราต้องให้อภัย แม้คนที่ทำร้ายเรา จะไม่ยอมเป็นทุกข์เสียใจด้วย แน่นอนซึ่งก็เป็นเรื่องที่ลำบากมากๆ และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องพึ่งพาพระหรรษทานของพระเจ้า
การให้อภัยช่วยแผ้วถางหนทางที่เราจะได้รับการให้อภัยจากพระเจ้า อุปสรรคแต่เพียงอย่างเดียวที่เราจะไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า ก็คือการที่เรายังไม่ยอมให้อภัยคนอื่น
จากบทอ่านที่หนึ่ง หนังสือบุตรสิรา…
“จงให้อภัยเพื่อนบ้านที่ทำผิดต่อท่าน แล้วบาปของท่านจะได้รับการอภัย …ถ้าผู้ใดสุมความโกรธต่อผู้อื่นไว้ เขาจะขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงรักษาเขาให้หายได้อย่างไร ถ้าเขาไม่มีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เขาจะกล้าอธิษฐานภาวนา ขออภัยบาปของตนได้อย่างไร”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์