สวัสดีครับพี่น้องที่รักอาทิตย์นี้เราเข้าสู่สัปดาห์ที่5 ของเทศกาลธรรมดาซึ่งในอาทิตย์นี้พระเยซูเจ้าได้สอนและตักเตือนให้เราเป็นเกลือดองแผ่นดินและแสงสว่างส่องโลก
ความสว่างและเกลือนั้นมีความสำคัญต่อโลกมากเพียงใดเราแต่ละคนก็มีความสำคัญมากฉันพระองค์จึงตักเตือนใจให้เราเป็นดังแสงสว่างของโลกนี้เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นพระคริสตเจ้าได้อย่างชัดเจนมากขึ้นผ่านทางชีวิตของเราและทรงย้ำอีกว่าเราต้องเป็นเกลือของแผ่นดินที่มีชีวิตตามจิตตารมณ์และตามมาตรฐานของพระคริสตเจ้านั่นคือชีวิตคริสตชนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณาความรักและการให้อภัยผู้อื่นเสมอเพื่อชีวิตของเราจะได้เป็นพระพรเป็นความดีและเป็นยาที่สามารถรักษาทุกสิ่งได้แม้แต่ความเกลียดชังและความเห็นแก่ตัวในโลกของเรา
ณตรอกซอยแห่งหนึ่งที่ทั้งมืดคับแคบอับชื้นและไม่มีแสงสว่างส่องทางแม้แต่น้อยดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืนการเดินทางในตรอกซอยแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบากมากยิ่งนัก
คืนวันหนึ่งมีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกแห่งนี้เพื่อมุ่งหน้าไปยังอารามของตนแต่ทว่าด้วยความมืดของตรอกซอยแห่งนี้ซึ่งแม้กระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองก็ยังมองไม่เห็นเมื่อเดินทางไปเรื่อยๆพระรูปนี้จึงเดินไปชนผู้อื่นและมิหน้ำซ้ำก็ยังถูกผู้อื่นเดินมาชนด้วยอย่างไม่หยุดหย่อน
ขณะนั้นเองมีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าวจึงทำให้ตรอกดังกล่าวเกิดแสงสว่างขึ้นมาพอสมควรพระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางพูดว่า“คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนักตนเองมองไม่เห็นแท้ๆใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย”
เมื่อพระได้ยินดังนี้ก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกันรอจนกระทั่งคนตาบอดท่านนี้ถือโคมไฟเดินผ่านมาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า“ขออภัยท่านตาบอดจริงๆหรือเปล่า?”คนตาบอดตอบว่า”ถูกแล้วข้าเกิดมาก็พิการตาสองข้างมองไม่เห็นสำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกันทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างนั้นมีหน้าตาเป็นเช่นไร“
พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้นจึงเอ่ยถามต่อไปว่า“ถ้าเช่นนั้นแล้วท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?”คนตาบอดตอบว่า“เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่างคนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด”
“เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกซอยนี้ท่านโดนคนเดินสวนมาชนเอาหรือไม่?…… ท่านดูข้าเองนะแม้เป็นคนตาบอดแต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียวทั้งๆที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่านคือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้งแต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…ที่ข้าจุดโคมถือไปไหนมาไหนด้วยนั้นข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่นและเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้าตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย”
เมื่อพระได้ยินดังนั้นก็เข้าใจทันทีว่าคนตาบอดท่านนี้ถือโคมไฟนี้ก็เพื่อเป็นแสงสว่างให้กับผู้อื่นและผลของการช่วยเหลือคนอื่นนี้ก็ส่งผลดีกลับมาสู่ผู้ให้นั่นเอง
พี่น้องครับคำตอบของคนตาบอดท่านนี้เป็นดั่งแสงสว่างที่ช่วยทำให้เราเข้าใจคำสอนของพระเยซูเจ้าขึ้นมาทันทีว่า“การเป็นแสงสว่างและเกลือดองแผ่นดินนั้นคืออะไร?”ก็คือการเป็นสิ่งที่เล็กๆหรืออะไรก็ได้ที่เราพอจะทำได้เพื่อผู้อื่นและทำให้มนุษย์รู้จักและรักพระเจ้าได้ผ่านทางชีวิตของเรา
…คุณพ่อปลัด…