ข้อคิดอาทิตย์ที่แปดเทศกาลธรรมดาปีA
มธ6: 24-34…ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้…และท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้…แต่จงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนแล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่งเหล่านี้ให้…
เรากำลังมาชุมนุมกันในบ้านของพระเจ้าให้เราเข้ามาหาพระองค์ด้วยจิตตารมณ์แห่งความเชื่อมั่นในพระองค์…โดยให้เราสลัดความห่วงกังวลออกไปเสียแต่ให้วางใจในความรักและความใส่ใจของพระเจ้าที่มีต่อเราแต่ละคน
ข้อคิด…คำสอนของพระวรสารในวันนี้ที่สำคัญมี2 ประการด้วยกันคือ..ประการแรกคือเป็นไปไม่ได้ที่เราจะรับใช้เจ้านายสองคนพร้อมๆกันในเวลาเดียวกันและประการที่สองคือให้เราได้รู้จักสลัดทิ้งซึ่งท่าทีและความห่วงกังวลที่มีต่อวันพรุ่งนี้หรืออนาคต…
ภาพลักษณ์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์คือภาพลักษณ์ของพระผู้เป็นบิดาที่คอยเอาใจใส่ดูแลบรรดาสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวงของพระองค์และคอยสอดส่องดูความต้องการของบรรดาลูกๆของพระองค์…“และพระเจ้าประทานอาหารให้กับทุกคนตามเวลา”(สดด145: 15)…และให้กับสัตว์ทั้งหลายด้วยเช่นเดียวกับที่ให้กับเรามนุษย์แต่ว่าพระญาณสอดส่องของพระเจ้าเราสามารถเห็นได้อย่างชัดแจ้งก็ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นซึ่งเปรียบเสมือนเป็นแผนการแห่งการช่วยให้รอดพ้นอันเป็นการร่วมมือกันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ให้กับประชากรของพระองค์
มีคนบางคนที่หวังจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างจากพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธรรมชาติเช่นลมฟ้าอากาศหรือเรื่องส่วนตัวเช่นความเป็นอยู่ความสำเร็จในหน้าที่การงานการศึกษาเล่าเรียนฯลฯด้วยการอธิษฐานภาวนาพลางตั้งหน้าตั้งตาคอยเวลาที่จะได้รับสิ่งที่วิงวอนขอ
แต่ก็ยังมีอีกบางคนที่ไม่หวังพึ่งอะไรทั้งสิ้นจากพระเจ้าเพราะกลับคิดว่าเป็นพระเจ้านั่นแหละที่เป็นอุปสรรคคอยขัดขวางความสำเร็จของตน
…มนุษย์เรามีความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าไปทำไม?…
ไม่รู้ว่าเป็นระยะเวลานานสักเท่าใดแล้วที่มนุษย์เราได้อธิษฐานขอต่อพระเจ้าในเรื่องต่างๆที่เป็นความต้องการของพวกเขาแต่ถึงกระนั้นพวกเขายังต้องทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อจะได้มาซึ่งอาหารที่ยังไม่พอเพียงสำหรับยังชีพในแต่ละวันพวกเขาได้เฝ้าสวดภาวนาแต่ก็ยังพบกับความอดอยากแร้นแค้นสารพัด
แต่ว่าในทุกวันนี้มนุษย์เกือบจะสามารถเป็นนายของธรรมชาติได้เกือบทุกอย่างเช่นสามารถเปลี่ยนกระแสน้ำให้ไหลไปในทิศทางที่มนุษย์ต้องการได้อันเป็นประโยชน์ต่อการเพาะปลูกหรือต่อการบริโภคใช้สอยของตนอันก่อให้เกิดผลิตผลอย่างมากมายและทำให้มนุษย์พบกับความหิวโหยน้อยลงฯลฯซึ่งทำให้ในทุกวันนี้มนุษย์คิดถึงพระเจ้าน้อยลงไปด้วยและทำให้คิดว่าแทบจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพระเจ้าอีกต่อไปเพราะลำพังมนุษย์ก็สามารถที่จะจัดหาสิ่งต่างๆทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นสำหรับตนเองได้แต่ก็สำหรับคนส่วนน้อยเท่านั้นไม่ใช่เสำหรับคนส่วนมาก
ในพระวรสารของวันอาทิตย์นี้เราได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าบอกกับพวกเราว่า“เราขอบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากังวลถึงชีวิตของท่านว่าจะกินอะไรอย่ากังวลถึงร่างกายของท่านว่าจะนุ่งห่มอะไรชีวิตย่อมสำคัญกว่าอาหารและร่างกายสำคัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ?”…แต่ว่าในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือเปล่า?…เมื่อผู้ที่เป็นแม่ไม่มีนมไม่มีอาหารไม่มีเสื้อผ้าให้ลูกน้อยของตนเขาจะยอมให้ลูกๆต้องหิวโหยไม่มีเสื้อผ้าใส่และปล่อยให้ลูกน้อยค่อยๆตายไปต่อหน้าต่อตาได้หรือ…เมื่อเรายากจนค่นแค้นและหิวโหยเราก็อดไม่ได้ที่จะต้องเป็นห่วงถึงชีวิตของเราเองว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไรถ้าหากว่าไม่มีสิ่งจำเป็นสำหรับยังชีพ
พระเยซูเจ้าเองมิได้บอกพวกเราว่าการเป็นศิษย์ของพระองค์นั้นทำให้เราไม่ต้องเป็นห่วงกังวลเรื่องชีวิตของเราในโลกนี้…นั่นก็คงจะเป็นการหลอกเราแน่ๆพระเยซูเจ้าเองก็ทรงเป็นห่วงกังวลและรู้สึกหวั่นวิตกเหมือนกัน…เมื่อการทนทุกข์ทรมานของพระองค์กำลังคืบคลานเข้ามาและพระองค์กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงต้องการสอนเราก็คืออย่าให้ความห่วงกังวลนี้เผาผลาญชีวิตของเราสูบเอาพลังทั้งหมดของเราไปและทำให้เรารู้สึกว่าพระเจ้ากำลังทอดทิ้งเราไม่ช่วยเหลือเราเมื่อพระเยซูเจ้าต้องเผชิญหน้ากับไม้กางเขนพระองค์จำเป็นต้องวางใจในพระเจ้าซึ่งมีฤทธิ์อำนาจเหนือไม้กางเขนนั้นพระองค์ทรงยอมรับว่าพระองค์ก็มีความกลัวเช่นนั้นแต่พระองค์ก็ทรงมอบความกลัวอันนั้นไว้ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าความกลัวและความห่วงกังวลนั้นมิใช่ความเป็นจริงประการสุดท้ายของพระองค์แต่ว่าเป็นความไว้วางใจในพระเจ้าต่างหาก
ในฐานะที่เราเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าพระองค์ทรงเรียกร้องให้เรามองข้ามความกลัวและความห่วงกังวลพลางมุ่งและมองไปหาพระเจ้าที่ทรงรู้จักเราแต่ละคนเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเช่นนั้นได้จริงๆเพราะเมื่อเรามีความห่วงกังวลก็เป็นการยากที่เราจะพุ่งเป้าไปหาสิ่งอื่นได้โดยไม่มีความห่วงกังวลบางทีในเวลานั้นเราอาจจะรู้สึกว่าเราไม่มีหัวใจเหลือไว้ให้กับพระเจ้าอีกต่อไปแล้วแต่พระเยซูเจ้าทรงขอร้องให้เราได้มอบความไว้วางใจของเราทั้งหมดให้กับพระเจ้าเหมือนกับที่เราอธิษฐานภาวนาในพิธีบูชาขอบพระคุณว่า
“โปรดให้เราปลอดภัยจากความวุ่นวายใดๆตลอดไปขณะที่หวังจะได้รับความสุขและรอรับเสด็จพระเยซูคริสตเจ้าพระผู้กอบกู้ข้าพเจ้าทั้งหลาย”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์