ข้อคิดอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรตปีA
ยน9: 1-41…คนตาบอดจึงไปล้างตาแล้วกลับมามองเห็นได้…
ในโลกของเราทุกวันนี้มีความมืดอยู่มากมายอย่างน่าใจหาย…แต่ว่าพระวรสารของวันนี้ได้นำเสนอพระวาจาอันน่าอัศจรรย์ขององค์พระคริสตเจ้า“เราเป็นแสงสว่างส่องโลก”…พระคริสตเจ้าทรงเป็นแสงสว่างส่องโลกจริงๆและทรงเป็นแสงสว่างส่องชีวิตของเรา…ให้เราทำการไตร่ตรองสักครู่หนึ่งว่าเรามีความต้องการแสงสว่างของพระองค์ที่จะส่องสว่างชีวิตของเราแต่ละคนเพื่อเราจะได้ไปส่องสว่างโลกมากน้อยแค่ไหน…
ข้อคิด…เช่นเดียวกับน้ำ…แสงสว่างก็เป็นสัญลักษณ์ขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งของการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์และของการไตร่ตรองทางศาสนาด้วย…ในเรื่องเล่าการสร้างโลกในหนังสือปฐมกาลเมื่อพระเจ้าได้แยกความสว่างออกจากความมืดพระองค์ก็ได้ทรงจัดระเบียบให้กับสากลจักรวาลให้เป็นที่พักอาศัยของทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต
และเมื่อวาระแห่งความสมบูรณ์ของกาลเวลามาถึงพระวจนาตถ์พระบุตรพระเจ้าก็ได้เสด็จลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์และมีชีวิตอยู่ท่ามกลางเรามนุษย์พระองค์ทรงเป็นชีวิตและแสงสว่างของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายพระองค์ทรงส่องสว่างผู้ที่เชื่อในพระองค์ด้วยชีวิตและข่าวดีของพระเจ้าซึ่งทำให้เรามนุษย์ได้รู้จักพระเจ้าพระบิดา…นี่เป็นหัวข้อใหญ่ๆที่สำคัญที่ได้รับการพัฒนาในข่าวดีที่นักบุญยอห์นผู้นิพนธ์พระวรสารนำเสนอให้กับพวกเราโดยเริ่มตั้งแต่บทแรกอันเป็นอารัมภบทของพระวรสารของท่านและได้รับการขยายความอย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยอาศัยเครื่องหมายและการอัศจรรย์ต่างๆที่พระองค์ได้ทรงกระทำซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนทั้งทาง“บวก” และ“ลบ”
ส่วนในบทอ่านที่หนึ่ง(1 ซมอ: 16: 1-13) นั้นก็บอกเราว่า…พระเจ้าทรงมองทะลุเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ในขณะที่มนุษย์มองแต่รูปร่างภายนอก
พระวาจาที่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับวันอาทิตย์นี้คือจากพระวรสารของนักบุญยอห์นที่เล่าเรื่องถึงชายตาบอดอันเป็นบทเรียนที่สอนเรื่อง“การเจริญเติบโตในความเชื่อ”…สุดยอดของเรื่องนี้ก็คือหนทางจากความตาบอดทางกายภาพไปสู่การได้สายตาดีกลับคืนมาอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ได้ทำการยืนยันความเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้าว่า“พระเจ้าข้าข้าพเจ้าเชื่อ”อันเป็นการเดินทางจากความไม่เชื่อไปสู่ความเชื่อ…จากความมืดไปสู่ความสว่าง……นักบุญเปาโลในบทอ่านที่สอง(อฟ5: 8-14) บอกเราว่า“ในอดีตท่านเคยเป็นความมืดแต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า”แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าคือในขณะที่ชายตาบอดเปิดตัวเองสู่ความสว่างยิ่งทียิ่งมากขึ้นพวกชาวฟาริสีซึ่งเป็นผู้มีสายตาตามธรรมชาติดีอยู่แล้วกลับกลายเป็นคนตาบอดทางด้านจิตวิญญาณยิ่งทียิ่งมากขึ้น…และในการคืนสายตาดีให้แก่คนตาบอดพระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็น“แสงสว่างส่องโลก”
เรื่องเล่าถึงชายตาบอดในพระวรสารบอกเราให้รู้ว่าชายตาบอดนั้นมองเห็นด้วยความเชื่อได้ดีกว่าผู้นำทางศาสนาของชาวยิวเพราะว่าชายตาบอดนั้นมีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้ามากกว่าพวกเขาชาวฟาริสีแม้ว่าจะมีสายตาที่ดีสมบูรณ์ตามธรรมชาติแต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่มีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้าอันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเอาตัวรอดพ้น…เพราะการเดินทางแห่งชีวิตของเรามนุษย์มิใช่อยู่ที่การแสวงหาแผ่นดินใหม่ๆแต่อยู่ที่การมองสิ่งต่างๆด้วยสายตาอันใหม่คือสายตาแห่งความเชื่อศรัทธาในพระเจ้านั่นเอง
นอกจากความตาบอดทางกายภาพแล้วยังมีรูปแบบของความตาบอดทางจิตวิญญาณอีกหลายรูปแบบด้วยกันเช่น
o ความเห็นแก่ตัว…ทำให้เราตาบอดจากการมองเห็นความต้องการของคนอื่น
o ความเย็นชา…ทำให้เราตาบอดจากการที่เรายังรู้สึกเฉยๆเมื่อคนอื่นถูกทำร้ายหรือทำไม่ดี
o การชอบยกตนข่มท่าน…ทำให้เราตาบอดด้วยการพยายามยกตนเองให้สูงกว่าดีกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ
o ความจองหอง…ทำให้เราตาบอดที่จะมองเห็นข้อบกพร่องของตนเอง
o การมีอคติ…ทำให้เราตาบอดจากความเป็นจริง
o ความเร่งรีบ…ทำให้เราตาบอดจากการมีเวลาดูสิ่งสวยงามของธรรมชาติรอบๆตัวเรา
o ความมีจิตตารมณ์วัตถุนิยม…ทำให้เราตาบอดจากการมองไม่เห็นค่านิยมทางจิตวิญญาณของสิ่งต่างๆ
o ความเป็นคนผิวเผิน…ทำให้เราตาบอดจากการมองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของคนอื่นซึ่งทำให้เราตัดสินเขาจากสิ่งที่ปรากฏ
คนโง่ชอบพิศวง และมองดูสิ่งผิดปกติไม่ธรรมดาส่วนคนฉลาดชอบพิศวง และมองดูสิ่งปกติธรรมดา
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์